ตลาดหุ้นปัจจุบันเชื่อว่าได้ตอบรับภาพที่ดีของสถานการณ์ไปมากแล้วและด้วยระดับราคาซื้อขายที่อยู่ในระดับสูงทำให้เกิดคำถามว่าราคาหุ้นจะคงอยู่ในระดับนี้ได้อีกนานหรือไม่ ทั้งนี้เราแนะนำให้นักลงทุนเน้นการลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value stocks) เนื่องจากมีราคาซื้อขายที่ยังไม่แพง ขณะที่หุ้นกลุ่ม Growth stocks มีราคาซื้อขายที่แพงมากแล้วจึงแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนลง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีสิ้นสุดวันที่ 24 มีนาคม 2025 Morningstar US Market Index ปรับลดลง 1.74% ซึ่งนำโดยหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกระแส AI ขณะที่หุ้นกลุ่ม Value ปรับเพิ่มขึ้น 4.59%
ระดับราคาหุ้นลงมาอยู่ในระดับเท่ากับปัจจัยพื้นฐาน
จากการประเมินมูลค่าหุ้นสหรัฐในตลาดกว่า 700 บริษัท ทาง Morningstar พบว่าตลาดหุ้นสหรัฐซื้อขายที่ระดับราคาตลาดเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงเท่ากับ 0.95 เท่า ถือได้ว่าเป็นการซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเพียง 5% เท่านั้น
หุ้นกลุ่ม Value ยังมีความน่าสนใจลงทุนมากที่สุด
จากการที่หุ้นกลุ่ม AI มีมูลค่าซื้อขายที่สูงมากจนเกินไปส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้รวมถึงหุ้นในกลุ่ม Growth stocks ปรับลดลงมาจนทำให้ตอนนี้มีราคาซื้อขายที่อยู่สูงกว่ามูลค่าพื้นฐานเพียง 3% เท่านั้นจากต้นปีที่ซื้อขายอยู่สูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน 24% ขณะที่หุ้นกลุ่ม Value stocks ปัจจุบันยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน 13%
สำหรับแนวโน้มปีนี้เราคาดว่าตลาดหุ้นจะปรับขึ้นได้อีกเล็กน้อยและคาดว่าภาพของกำไรจะปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ซึ่งรองรับราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมามากก่อนหน้านี้แล้ว โดยเราแนะให้นักลงทุนให้น้ำหนักการลงทุนที่มากหรือ Overweight หุ้นในกลุ่ม Value ซึ่งซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน 13% และให้น้ำหนักลงทุนเท่าตลาดหรือ Market weight ในหุ้นกลุ่ม Core stocks ซึ่งซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน 2% และให้น้ำหนักการลงทุนที่น้อยกว่าตลาดหรือ Underweight ในหุ้นกลุ่ม Growth stocks ซึ่งซื้อขายสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน 3%
นอกจากนี้แนะนำให้ Overweight ในหุ้นกลุ่ม Small-cap stocks ซึ่งซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน 18% และให้ Underweight หุ้นขนาดกลางถึงใหญ่ (Large-cap และ mid-cap stocks) ทั้งนี้จากข้อมูลในอดีตพบว่าหุ้นขนาดเล็กจะมีราคาที่ปรับขึ้นได้ดีในช่วงที่ Fed ผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ดอกเบี้ยปรับลงในระยะยาว และเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยทีมเศรษฐกิจของ Morningstar Wealth Management คาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ถึง 3 ครั้ง ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะยังชะลอตัวก่อนที่จะปรับดีขึ้นในปีหน้า
การปรับลดลงของหุ้น AI จากภาพเศรษฐกิจถดถอย
แม้ในรายงานภาวะตลาดจะบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นที่ปรับลดลงหนักเกิดจากความกังวลจากมาตรการเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐ แต่ทาง Morningstar เชื่อว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยจากการวิเคราะห์ Morningstar US Market Index พบว่าการปรับลดลงของหุ้นจำนวน 10 บริษัทนั้นมีมากกว่าการปรับลดลงของตลาดหุ้นโดยรวม แปลว่าจริงๆแล้วมีหุ้นอีกส่วนในตลาดที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมากซึ่งชดเชยการปรับลดลงของหุ้นเหล่านั้นได้ ทั้งนี้ในจำนวนหุ้น 10 บริษัทนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI ทั้งสิ้น
หุ้นกลุ่ม AI ก่อนหน้านี้ปรับเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุดก่อนที่จะปรับลดลงหลังจากการเปิดตัวของ DeepSeek
หุ้นขนาดใหญ่บางบริษัท เช่น Apple, Alphabet, Amazon.com, Microsoft และ Nvidia ถูกเทขายลงมาอย่างมากในปีนี้จนเริ่มถึงระดับที่น่าสนใจลงทุน เนื่องจากหุ้นโดยรวมที่อยู่ในกลุ่มนี้ปรับลดลงมาจนมีมูลค่าซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 7% จากที่เคยซื้อขายแพงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นถึง 5% ส่วนหุ้นกลุ่ม Growth ซื้อขายสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงเพียง 1% แล้ว จากก่อนหน้าที่ซื้อขายสูงกว่าถึง 17%
ช่วงเวลานี้จึงเหมาะที่จะทำการปรับพอร์ตการลงทุนโดยเพิ่มการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพหรืออยู่ในกลุ่ม Wide economic moats ตามการจัดอันดับของ Morningstar ให้มากขึ้นเพราะนอกจากมีราคาซื้อขายที่ต่ำกว่ามูลค่าแท้จริงแล้วยังจำกัดความเสี่ยงของราคาหุ้นที่จะปรับลดลงในอนาคตได้ด้วย ทั้งนี้ทีมเศรษฐกิจของ Morningstar คาดว่าภาพเศรษฐกิจจะเติบโตชะลอลงในปีนี้ซึ่งนำไปสู่การเติบโตของกำไรธุรกิจที่ช้าลงได้ ดังนั้นบริษัทที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ดีในระยะยาวนั้นราคาหุ้นก็อาจถูกกระทบได้อีกเช่นกัน
ในแง่การประเมินมูลค่ารายอุตสาหกรรมพบว่าราคาหุ้นหลายกลุ่มอยู่ในระดับใกล้มูลค่าพื้นฐาน ยกเว้นกลุ่มสื่อสารที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเนื่องจากราคาหุ้น Alphabet และ Meta ปรับลดลงมา ขณะที่หุ้นในกลุ่ม Consumer cyclical ราคาหุ้นต่อมูลค่าพื้นฐานลงมาอยู่ที่ 0.94 เท่าจากเดิมที่อยู่ที่ 1.19 เท่า ซึ่งหลักๆเป็นผลมาจากการลดลงของราคาหุ้น Tesla ที่ลดลง 31% และหุ้น Amazon ราคาลดลง 7% ขณะที่กลุ่ม Technology ราคาหุ้นต่อมูลค่าพื้นฐานลงมาอยู่ที่ 0.94 เท่าจากเดิมที่ 1.07 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของหุ้นที่เกี่ยวกับ AI
ส่วนอุตสาหกรรมที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานและมีราคาปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงานมีราคาหุ้นต่อมูลค่าพื้นฐานเพิ่มขึ้นจาก 0.90 เป็น 0.95 เท่า กลุ่มสุขภาพเพิ่มจาก 0.92 เป็น 0.96 เท่า ด้านกลุ่มสาธารณูปโภคราคาเพิ่มขึ้นเกินมูลค่าพื้นฐานแล้วจาก 1.07 เป็น 1.09 เท่า หลังจากเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของ AI นำไปสู่ความต้องการใช้ไฟที่เพิ่มขึ้น