Exchange-traded funds หรือ ETFs อาจเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่แต่ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว โดยมีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่นใน New York Stock Exchange เหมือนกับหุ้น ซึ่งแตกต่างจากกองทุนรวมที่ซื้อขายผ่านตัวแทนเท่านั้น
นับตั้งแต่ ETFs เกิดขึ้นมาในปี 1993 นักลงทุนต่างนิยมเนื่องจากมีราคาที่ถูก ช่วยประหยัดภาษี และง่ายต่อการซื้อและขายแต่ก็ขึ้นอยู่กับบางกองทุนเท่านั้นด้วย ดังนั้นจึงต้องเลือกอย่างระมัดระวัง คำแนะนำการลงทุนนี้จึงเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของ ETFs ค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเริ่มลงทุนทำอย่างไร
ประเภทของ ETF
- Stock ETFs คือ ETFs ที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างๆซึ่งอาจใช้เป็นการลงทุนหลักของพอร์ตโฟลิโอหรือเพื่อกระจายความเสี่ยงก็ได้
- Bond ETFs คือ ETFs ที่ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งของรัฐบาลและเอกชน ซึ่งอาจเหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายทางการเงินระยะกลาง หรือนักลงทุนที่ไม่ชอบการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว
- Thematic ETFs คือ ETFs ที่เน้นลงทุนเฉพาะกลุ่มหรืออุตสาหกรรมที่กำหนด เช่น เน้นเรื่อง ESG หรือเน้นเรื่องเงินดิจิตอล ซึ่งนักลงทุนนิยมลงทุนใน ETFs รูปแบบนี้เพื่อเกาะกระแสการลงทุนมากกว่าการไปเลือกลงทุนเองเป็นรายบริษัท
ETF ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนแบบ Passive หรือไม่
การลงทุนแบบ Passive คือการลงทุนเพื่อสะท้อนดัชนีให้มากที่สุด เช่น S&P 500 ซึ่ง ETF จํานวนมากใช้แนวทางนี้ในการลงทุนและเป็นเหตุผลสําคัญที่ทำให้ ETF น่าสนใจเนื่องจากมีผลตอบแทนที่โปร่งใสสะท้อนดัชนีต้นแบบได้อย่างชัดเจน และมีความพึ่งพิงผู้จัดการกองทุนคนใดคนหนึ่งที่น้อยแม้มีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนใหม่ก็สามารถลงทุนตามดัชนีอ้างอิงได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ETFs ที่เน้นลงทุนแบบ Active แม้ยังมีไม่มากแต่ก็เริ่มมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากบางกองทุนเริ่มมีการออก Active ETFs มากขึ้น นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนก็พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลการลงทุนทุกวันเพื่อความโปร่งใส และด้วยส่วนผสมของฝีมือการลงทุนที่ดีของผู้จัดการกองทุนประกอบกับการมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำและยังได้ประโยชน์ทางภาษีก็ทำให้โครงสร้างของ ETF สร้างผลตอบแทนที่ดีแบบยั่งยืนได้
ประเด็นภาษีสำหรับ ETF
ETFs มักจะประหยัดภาษีได้มากกว่ากองทุนรวม เช่น กรณีนักลงทุนขาย ETF ของตัวเองในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ออก ETF ก็ไม่มีผลกระทบจากการซื้อขายและจำนวน ETF ที่มีอยู่ในตลาดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ด้านเจ้าของหลักทรัพย์ก็เพียงนำหลักทรัพย์แลกกับหน่วย ETF ดังนั้นจึงไม่ต้องเสียภาษีเพราะไม่ได้มีการบักทึกกำไรที่เกิดขึ้นจริงจากการซื้อขายดังกล่าว นอกจากนี้ ETF จํานวนมากเป็นกองทุนดัชนีที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนหลักทรัพย์ภายในพอร์ตโฟลิโอบ่อยจึงมีโอกาสน้อยลงที่จะรับรู้ผลกําไรจากการขายหลักทรัพย์
ค่าใช้จ่ายสำหรับ ETF
ค่าใช้จ่ายของกองทุนเกิดจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิรวมผลตอบแทนที่ได้และหักต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆออกไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง เช่นในปี 2023 ค่าใช้จ่ายที่กิดขึ้นของ ETFs อยู่ที่ 0.36% น้อยลงกว่าครึ่งนึงเมื่อเทียบกับปี 2003 นอกจากนี้หากดูค่าใช้จ่ายเทียบกับลักษณะการลงทุนของแต่ละ ETFs พบว่ากองทุน ETFs ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ากองทั่วไป เช่น ETFs อ้างอิงดัชนีอย่างเช่น S&P 500 ปกติจะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า 0.05%
การลงทุนใน ETF ควรมีมากน้อยเท่าไหร่
การทำ Asset allocation หรือการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนจะช่วยให้เราลงทุนได้เหมาะสมมากขึ้น โดยต้องดูว่าปัจจุบันเราใกล้บรรลุเป้าหมายทางการเงินหรือยัง ความเสี่ยงที่รับได้มีแค่ไหน เพื่อที่จะได้พิจารณาถูกว่าควรเลือกลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้หรือสินทรัพย์อื่นๆดี
บางคนอาจลงทุนแค่ ETF เดียวก็เหมาะสมแล้วสำหรับการลงทุนแบบ Passive หรือนักลงทุนบางคนอาจต้องการเลือกลงทุนหลายๆ ETF รวมกันซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน สิ่งสําคัญคือต้องประเมินว่าสินทรัพย์เหล่านั้นช่วยกระจายความเสี่ยงที่แท้จริงได้ และช่วยเสริมการลงทุนพอร์ตโฟลิโอที่มีอยู่ให้ครบถ้วน
การเลือกลงทุนใน ETF
หลังจากที่นักลงทุนเลือกได้ว่าอยากจะลงทุนใน ETF ที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Active หรือ Passive นั้น ต่อไปก็ควรดูอันดับที่ได้รับการจัดสรรจาก Morningstar ว่าได้เท่าไหร่ เพื่อช่วยเลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีโดดเด่นกว่าคู่แข่งในระยะยาว การได้รับการจัดอันดับระหว่าง Gold, Silver, Bronze, Neutral หรือ Negative ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และแนวทางการลงทุนของผู้จัดการกองทุน รวถึงผู้จัดการกองทุนและบริษัทจัดการกองทุนของแต่ละกองทุน
Equity ETFs ที่น่าสนใจ
ปัจจุบันมี ETFs ที่ได้อันดับ Gold rating จำนวนมาก โดยมีบางหลักทรัพย์ที่น่าสนใจได้แก่
Dimensional US Core Equity Market ETF ซึ่งมีกลยุทธ์การกระจายการลงทุนที่ดีและค่าธรรมเนียมต่ำ ช่วยให้นักลงทุนมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้กองทุนมีการกระจายการลงทุนในหุ้นสหรัฐที่มีขนาดหลากหลายแต่อาจเน้นไปที่หุ้นที่มีขนาดเล็ก มีราคาซื้อขายที่ไม่แพง มีอัตรากำไรธุรกิจที่สูง
Vanguard Small-Cap Value ETF เน้นลงทุนตาม CRSP US Small Cap Value Index ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีมูลค่าซื้อขายไม่แพงในตลาด มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และให้ผลตอบแทนกองทุนที่ดีตั้งแต่จัดตั้งกองขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีค่าความผันผวนที่ต่ำ
iShares Core MSCI Total International Stock ETF เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศและมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ โดยการลงทุนจะล้อตาม MSCI ACWI ex USA Investable Market Index ซื่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก กลาง และใหญ่กว่า 4,000 บริษัท การถือหุ้นของกองทุนนี้จะเน้นอิงตามมูลค่าหลักทรัพย์ในดัชนี การกระจายความเสี่ยงคือจุดแข็งของกองนี้ หุ้น 10 บริษัทแรกที่ลงทุนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของสินทรัพย์ และแต่ละหลักทรัพย์มีน้ำหนักส่วนมากไม่เกิน 2% ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผลการดําเนินงานในระยะยาว
Bond ETFs
สำหรับ Bond ETFs ที่ได้รับGold rating และน่าสนใจได้แก่
Fidelity Total Bond ETF เน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชนที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อ Investment-grade รวมถึงลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และหลักทรัพย์ประเภท Mortgages ต่างๆที่เป็นองค์ประกอบใน Bloomberg US Aggregate Bond Index นอกจากนี้ยังจัดสรรน้ำหนักการลงทุนอีกประมาณ 20% ในตราสารหนี้ที่เป็น Non-investment-grade bonds เช่น กลุ่ม High-yield และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งการลงทุนจะเน้นอ้างอิงน้ำหนักตามดัชนีต้นแบบทำให้มีผลตอบแทนที่ดีกว่ากองอื่นๆขณะที่มีความผันผวนที่ต่ำกว่า
Pimco Enhanced Short Maturity Active ESG ETF กลยุทธ์การลงทุนเน้นรักษาเงินต้น สภาพคล่องสูง และลงทุนในตราสารหนี้กลุ่ม ESG ที่มีคุณภาพสูง โดยการลงทุนอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยทางมหภาคเป็นองค์ประกอบทั้งอัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน ปัจจัยในประเทศและอุตสาหกรรมต่างๆ
Schwab U.S. TIPS ETF เน้นลงทุนใน Treasury Inflation-Protected Securities เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยมีค่าธรรมเนียมกองทุนที่ต่ำมากเช่นกัน การลงทุนจะเลียนแบบ Bloomberg US Treasury Inflation-Linked Bond Index เน้นน้ำหนักการลงทุนอ้างอิงตามดัชนี