ผลกระทบทางลบของภาษี

การเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นหรือ Tariff อาจส่งผลลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐและทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น 

Morningstar 19/03/2568
Facebook Twitter LinkedIn

การเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นหรือ Tariff อาจส่งผลลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐและทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น โดยผลกระทบที่เกิดนั้นอาจยังไม่รู้ว่ามากน้อยเท่าใดเพราะยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ขณะที่การขาดดุลการค้าก็ไม่น่าดีขึ้นได้แม้ว่าเป็นเป้าหมายของทรัมป์ก็ตาม ทั้งนี้หากการเติบโตของเศรษฐกิจถูกกระทบมากอาจส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ส่งผลให้ความเสี่ยงปรับเพิ่มขึ้นจนกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐให้ปรับลดลง

ผลกระทบของการขึ้น Tariff ต่อการเติบโตของ GDP

เราคาดว่าหากทรัมป์ขึ้น Tariff 10% จากสินค้าโดยรวม และขึ้น Tariff 60%สินค้านำเข้าจากจีน จะกระทบ GDP ระยะยาว 1.6% (1.1% มาจากผลกระทบขึ้นภาษี 10% สำหรับสินค้าทั่วไป และอีก 0.5% เป็นผลจากขึ้นภาษีจากจีน 60%)

ทั้งนี้เราเชื่อว่ามีโอกาสสูงมากที่การขึ้น Tariff สินค้านำเข้าจากจีนจะเป็นไปได้จริงเนื่องจากแรงต่อต้านจีนที่มีมากขึ้นและเป็นนโยบายที่ต่อเนื่องจากคราวก่อนหน้า แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ GDP นั้นจะต่ำกว่าการขึ้น Tariff จากสินค้าประเทศอื่น เนื่องจากที่ผ่านมาภาคธุรกิจได้หลีกเลี่ยงการค้ากับจีนและซื้อขายสินค้าผ่านประเทศที่ 3 แทน

1

Morningstar เชื่อว่าการปรับขึ้น Tariff ได้จริงนั้นทำได้น้อยเช่นเดียวกับคาดการณ์ของตลาด แต่ทาง Morningstar ก็ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่แท้จริงสะสมจนถึงปี 2028 ลง 0.32% ให้สอดคล้องกับผลกระทบที่เกิดขึ้น

1

สำหรับผลกระทบของ Tariff ต่อเงินเฟ้อและปัจจัยอื่นๆยังขึ้นอยู่กับการตอบสนองของนโยบายการเงินและการคลังด้วยเช่นกัน

  • หากรายได้จาก Tariff ถูกนําไปใช้เพื่อลดภาษีก็จะทําให้เกิดอัตราเงินเฟ้อมากขึ้น และนําไปสู่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้นได้
  • แต่หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าก็จะช่วยลดผลกระทบด้านเงินเฟ้อจาก Tariff ได้ แต่ก็อาจกระทบต่อผู้ส่งออกของสหรัฐฯแทน อย่างไรก็ดีการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปได้ไม่มากหากประเทศคู่ค้าสหรัฐออกมาตรการตอบโตทางการค้ามากขึ้น

การขึ้น Tariff ที่มากไปอาจกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศได้

ปัจจุบันอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5% ในปี 2024 ปรับเพิ่มจากอัตรา 1.7% ในปี 2016 (เป็นผลมาจากการปรับขึ้นภาษีในปี 2018-2019) ขณะที่การเสนอขึ้น Tariff รอบนี้ของทรัมป์จะทำให้การเก็บภาษีการค้านั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าสี่เท่าหรือเป็นอย่างน้อยในอัตรา 15% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดที่สหรัฐฯ เคยเป็นมาตั้งแต่ปี 1930 ขณะที่ความเป็นจริงเราคาดว่าอัตรา Tariff น่าจะเพิ่มได้เป็นอัตราเฉลี่ยที่ 5% ด้านผู้ค้าบน Polymarket เชื่อว่ามีความน่าจะเป็นประมาณ 40% ที่จะเกิดขึ้นภายในไตรมาสที่ 2 ปีนี้

1

ทำไมการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรจึงไม่ช่วยให้การขาดดุลการค้าลดลง

จากภาพจะเห็นว่าการไหลของเงินทุนไม่ได้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน การขึ้นภาษีไม่ช่วยลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นช่วยลดผลกระทบของภาษีนําเข้าแต่ก็ทำให้การส่งออกลดลง

1

ตัวอย่างเช่นในอดีตช่วงปี 2010 ที่เดิมสหรัฐมีการนำเข้าพลังงานมากกว่าการส่งออก แต่หลังจากที่เปิดให้มีการขุดพลังงานใช้ในประเทศมากขึ้นเพื่อลดการนำเข้า ส่งผลให้การนำเข้าพลังงานของสหรัฐกลับมาสมดุลกับการส่งออกของประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ดีก็ไม่ได้ช่วยให้ดุลการค้าของสหรัฐนั้นดีขึ้นได้เนื่องจากว่าความนิยมในการขุดน้ำมันในสหรัฐจนกลายเป็นภาวะ Shale boom นั้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเกือบประมาณ 20% และส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกขณะที่การนำเข้ามีความได้เปรียบมากขึ้นจนส่งผลให้สหรัฐขาดดุลทั้งการค้าและการบริการมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อให้สหรัฐฯขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง จึงต้องหาวิธีอื่นในการลดการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ เพื่อให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง

ผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ

เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2025-29 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 2.0% โดยที่ปีนี้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 2.2% และเงินเฟ้อปี 2026-2027 จะปรับลดลงต่ำกว่าเป้าหมายของ Fed ที่ 2% ทั้งนี้เราได้รวมคาดการณ์ของการขึ้นภาษีศุลกากรบางส่วนไว้ด้วยแล้วโดยเชื่อว่าจะกระทบระดับราคาให้ปรับเพิ่มขึ้น 0.20% ในช่วงปี 2025-28

1

แต่หากการขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้ทำได้แบบเต็มที่ก็คาดว่าจะกระทบระดับราคาสินค้าให้เพิ่มขึ้นได้อีก 1%-2% อย่างไรก็ดีเชื่อว่าการปรับขึ้นภาษีรอบนี้จะไม่ได้ทำได้โดยง่ายหรือรักษาระดับไว้ได้

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar