ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องจนใกล้แตะ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในขณะที่ราคาทองคำของไทยก็ปรับขึ้นจนแตะบาทละ 47,000 บาทเช่นกัน ทำให้ “ทองคำ” กลับมาเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจอีกครั้ง
สำหรับทางเลือกการลงทุนในทองคำนั้น นอกจากการซื้อทองคำโดยตรงแล้ว นักลงทุนอาจพิจารณาการลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ยังมีเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มากหรือไม่ต้องการมีภาระในการเก็บรักษาทรัพย์สินได้เช่นกัน โดยปัจจุบันมีกองทุนรวมทองคำในไทยรวมเกือบ 50 กองทุน (นับแยกชนิดหน่วยลงทุน) ภายใต้การบริหารของ 15 บลจ. คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 4.1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยทั้งกองทุนรวมทั่วไป และกองทุน SSF & RMF เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดหย่อนภาษี โดยมี บลจ.กสิกรไทย ครองตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 35% ตามมาด้วย บลจ.ไทยพาณิชย์ และ บลจ.บัวหลวง ตามลำดับ
กองทุนส่วนใหญ่ลงทุนผ่าน SPDR Gold Shares
เป็นที่น่าสังเกตว่านโยบายการลงทุนของกองทุนรวมทองคำที่มีการเสนอขายในประเทศไทยในปัจจุบันกว่า 90% เป็นการลงทุนผ่าน SPDR Gold Shares ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทย 5 อันดับแรก ล้วนมีการลงทุนในกองทุน ETF นี้ทั้งหมด ในขณะที่มีสัดส่วนกองทุนเพียงเล็กน้อยที่มีการสร้างความแตกต่างในด้านนโยบายการลงทุน ตัวอย่างเช่น การลงทุนโดยตรงในทองคำแท่ง หรือการลงทุนแบบ Fund of funds ที่มีการกระจายลงทุนในหลาย ETF เป็นต้น
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของ SPDR Gold Shares และกับราคาทองคำในตลาดโลกซึ่งอ้างอิงจาก LBMA Gold Price ย้อนหลัง 10 ปีพบว่า ผลตอบแทนมีความใกล้เคียงกันค่อนข้างมาก โดยมีการเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกันทั้งในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นและลง หากแต่ผลตอบแทนจากการลงทุนผ่าน SPDR Gold Shares จะอยู่ในระดับต่ำกว่าเล็กน้อย เนื่องจากปัจจัยด้านค่าธรรมเนียมของกองทุน ETF
ผลตอบแทนของกองทุนรวมทองคำในไทย
ถึงแม้ว่ากองทุนรวมทองคำส่วนใหญ่ในไทยจะลงทุนในกองทุนหลักเดียวกัน แต่ช่วงกว้างของผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีก็ค่อนข้างมีความแตกต่างกัน โดยผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่างกองทุนที่มีผลตอบแทนสูงสุดกับกองทุนที่มีผลตอบแทนต่ำสุดอาจปรับตัวได้แตกต่างกันถึง 15% ในบางปี
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่างด้านผลตอบแทนนั้น อาจมาได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการลงทุน, ค่าธรรมเนียมกองทุน และนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่นในด้านอัตราค่าธรรมเนียม พบว่า ค่าธรรมเนียมการจัดการโดยเฉลี่ยของกองทุนรวมทองคำในไทยอยู่ที่ประมาณ 0.76% โดยมีช่วงของค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 0%-1.18% ในขณะที่ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end fee) เฉลี่ยค่อนข้างต่ำเพียง 0.06% และมีค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.1%
นอกจากนี้ นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนก็นับว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของกองทุนรวมทองคำ เนื่องจากโดยปกติแล้วราคาทองคำมักปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ กล่าวคือ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำมักปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดโลก แต่หากไม่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนที่แปลงกลับมาในรูปสกุลเงินบาทปรับตัวลดลงได้จากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน แต่ก็อาจมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มหากค่าเงินบาทกลับตัวอ่อนค่า ในทางตรงกันข้าม หากมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ก็จะทำให้ผลตอบแทนของกองทุนที่เราลงทุนมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องไปกับราคาทองคำในตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกันกองทุนก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับการเข้าทำสัญญาเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนโดยรวมได้เช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนจึงควรพิจารณานโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมกับมุมมองด้านอัตราแลกเปลี่ยนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เพื่อให้การลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ หากพิจารณากองทุนที่มีผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าล้วนเป็นกองทุนที่มีนโยบายด้านการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยข้อมูลใน Fund factsheet ล่าสุดของกองทุนในกลุ่มนี้พบว่ามีสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงฯที่สูงกว่า 80% ขึ้นไป ดังนั้นกองทุนจึงได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในกรอบสั้นลงเป็นช่วง 3 เดือน จะพบว่ากองทุนที่ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจะปรับตัวขึ้นนำ เนื่องจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท
Fund flow เริ่มกลับมา
หากพิจารณาเม็ดเงินลงทุนย้อนหลังในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ากองทุนรวมทองคำมีเงินไหลเข้าติดลบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 – 2566 จนกระทั่งในปี 2567 ที่เริ่มมีเงินไหลเข้าสุทธิฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งกว่า 4.8 พันล้านบาท ต่อเนื่องมาจนถึงช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ โดยหากพิจารณาในรายละเอียดประเภทกองทุน จะเห็นว่ากองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีซึ่งส่งเสริมการลงทุนในระยะยาวนั้น เริ่มมีเงินทยอยไหลเข้าตั้งแต่ปี 2565 และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันเช่นกัน
ท่ามกลางการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปีนี้ แต่ทองคำก็ยังคงสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้สินทรัพย์ประเภทอื่นๆ และเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทต่างๆแล้ว กองทุนรวมทองคำนับว่าเป็นหนึ่งในประเภทกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับต้นๆอย่างต่อเนื่องเมื่อพิจารณาจากผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งในช่วง 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี และ 10 ปี ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหากองทุนในสินทรัพย์อื่นๆเพื่อหลบความผันผวนจากตลาดหุ้น หรือเพื่อชดเชยการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ก็อาจพิจารณาการลงทุนในกองทุนรวมทองคำเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงได้เช่นกัน