ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นโยบายรัฐบาล ความผันผวนของตลาดการเงิน และภูมิศาสตร์ทางการเมือง นับเป็นปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ในบทความนี้เราได้ทำการศึกษาดูว่าผู้จัดการกองทุนในตลาดเอเชียนั้นให้ความสำคัญต่อปัจจัยใดบ้างและมีแผนในการจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างไร
ตลาดตราสารทุน
ปี 2024 ตลาดหุ้นในเอเชียให้ผลตอบแทนที่ดี โดย Morningstar Asia ex-Japan Target Market Exposure Index ให้ผลตอบแทนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐที่ 10% (เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ที่ให้ผลตอบแทน 7%) ซึ่งนำโดยตลาดหุ้นไต้หวันที่ปรับขึ้นมากเนื่องจากน้ำหนักของดัชนีส่วนมากมาจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากกระแส AI ทั้งนี้หุ้น TSMC ปรับเพิ่มขึ้นถึง 72% ในปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดหุ้นจีนปีที่ผ่านมาก็ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเนื่องมาจากหุ้น Tencent ที่มีน้ำหนักมากในดัชนีหุ้นจีนนั้นปรับเพิ่มขึ้นจากความสามารถในการแข่งขันที่ดี รวมถึงหุ้นแบงค์ในจีนที่จ่ายปันผลในอัตราที่สูง ส่วนตลาดหุ้นอินเดียปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันจากการเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลางและเล็ก โดย Morningstar India Small-Mid Cap TME Index +22% ในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นของตลาดหุ้นในปีที่แล้วก็ไม่ได้ดีต่อเนื่องมาก ด้วยภาพเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอทำให้ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาช่วยเหลือ การขึ้นเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ด้านตลาดหุ้นอินเดียรวมถึงหุ้นในกลุ่ม AI เริ่มมีความกัลวลต่อราคาตลาดที่สูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน รวมไปถึงนโยบายของทรัมป์ที่ทำให้เกิดความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อจนกระทั่งอาจจำกัดโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐและในเอเชีย
ตลาดจีน
เศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัวที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอ่อนแอและกำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอลง ด้านนักลงทุนในตลาดหุ้นอาจมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนบริษัทที่ดีมีโอกาสเติบโตในอนาคตสูงภายใต้ราคาซื้อขายที่ยังต่ำในตอนนี้ โดย ณ สิ้นปี 2024 กองทุนในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่มีการลงทุนในตลาดหุ้นจีนเฉลี่ย 30% ของขนาดกองทุน ด้าน Robin Parbrook และ King Fuei Lee ผู้จัดการ Schroder ISF Asian Total Return ยังคงระวังการลงทุนในจีนทั้งในแง่เศรษฐกิจที่ยังคงท้าทาย ภาวะเงินฝืด การขาดดุลการคลังที่มากขึ้น และการมีกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมากในประเทศ ซึ่งเชื่อว่ากำลังสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นของตลาดจีนในตอนนี้ แต่ก็เชื่อว่าเป็นโอกาสการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีอย่างเช่น Tencent และ NetEase รวมถึงธุรกิจอาหารอย่าง Meituan และธุรกิจท่องเที่ยวอย่างเช่น Trip.com ทำให้น้ำหนักการลงทุนในจีนของพวกเขาเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 7% ในเดือนมิถุนายน 2024 เป็น 13% ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังต่ำกว่าน้ำหนักหุ้นจีนในดัชนี Morningstar Asia Pacific ex-Japan TME Index ที่อยู่ที่ 26% ด้าน Jonathan Pines ผู้บริหาร Federated Hermes Asia ex Japan Equity strategy มีน้ำหนักการลงทุนในจีนเกือบ 40%ของพอร์ตโฟลิโอเนื่องจากราคาซื้อขายตอนนี้ที่นับได้ว่าต่ำมากๆ โดยมีการลงทุนทั้งใน Tencent, Baidu, JD.com, China Oilfield Services, Anhui Conch Cement และ Fuyao Glass เป็นต้น
ตลาดอินเดีย
เศรษฐกิจอินเดียนั้นเติบโตได้เต็มที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมารวมถึงศักยภาพที่เชื่อมั่นได้ว่าจะเติบโตได้ต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ดีสิ่งที่ยังไม่มั่นคงคือตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมามากจนทำให้ราคาตลาดสูงเกินกว่ามูลค่าหรือปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น สำหรับสิ้นปี 2024 กองทุนในเอเชียโดยเฉลี่ยลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียเฉลี่ย 20% ของมูลค่าสินทรัพย์ ซึ่งยังต่ำกว่ามูลค่าตลาดหุ้นอินเดียใน the Morningstar Asia ex-Japan TME Index ที่ 24% ทั้งนี้ FSSA Asian Equity Plus ให้น้ำหนักการลงทุนในอินเดียที่ค่อนข้างมาก ซึ่ง Martin Lau ผู้จัดการกองทุนดังกล่าวเห็นว่าอินเดียเป็นตลาดที่มีหุ้นคุณภาพดีจำนวนมาก เช่น หุ้นของธนาคาร HDFC หรือ Colgate-Palmolive ที่ขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ขณะที่ Schroder ISF Asian Total Return มีน้ำหนักการลงทุนในหุ้นอินเดียเพียง 12% เพราะเห็นว่าราคาหุ้นในตลาดนั้นสูงเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้วแม้ภาพเศรษฐกิจจะยังดีก็ตาม การลงทุนจึงเน้นไปที่หุ้นกลุ่มธนาคาร โรงพยาบาล และกลุ่มที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี
ตลาดอาเซียน
ภูมิภาคอาเซียนยังคงมีศักยภาพการเติบโตที่สูงในอนาคตโดยมีปัจจัยบวกจากโครงสร้างประชากร เช่น การขยายตัวของชนชั้นกลาง นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากกกลยุทธ์ “China Plus One” หรือการกระจายความเสี่ยงทางการค้าของจีนไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้กองทุนในเอเชียโดยเฉลี่ยมีการลงทุนหุ้นในภูมิภาคอาเซียนเฉลี่ย 9%ของพอร์ตโฟลิโอ
โดย Phadnis ผู้จัดการ Fidelity Sustainable Asia Equity เชื่อว่าตลาดอาเซียนจะได้แรงหนุนจากอัตรากำไรที่ดีขึ้นและการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังดี และเห็นว่ากลุ่มธนาคารจะเป็นบทบาทสำคัญในการพัฒนาของภูมิภาค การลงทุนที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นของธนาคาร DBS, Central Asia, Mandiri เป็นต้น