มักมีคำถามเกิดขึ้นตลอดเวลาว่าทำไมจึงควรกระจายการลงทุนออกไปนอกประเทศสหรัฐเพราะเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆรวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดอื่นๆนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา สำหรับปัจจัยที่ขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตเร็วนั้นสามารถวิเคราะห์ผ่านมุมมองทางเศรษฐกิจและนโยบายได้ดังนี้
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
การคิดค้นพัฒนาทางเทคโนโลยี: ประเทศสหรัฐมีวัฒนธรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาด้านนวัตกรรมและการเกิดใหม่ของธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งนำไปสู่การลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก ทำให้สหรัฐเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าและประสิทธิภาพเติบโตสูง
ตลาดแรงงานมีความยืดหยุ่น: ตลาดแรงงานในสหรัฐที่มีความยืดหยุ่นมากทำให้เกิดการจ้างงานหรือเลิกจ้างได้โดยง่ายและช่วยทำให้ภาคธุรกิจมีการปรับตัวให้สอดคล้องไปกับสภาพเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและช่วยให้ต้นทุนในการปรับโครงสร้างองค์กรในสหรัฐนั้นต่ำกว่าในยุโรป เช่น ต้นทุนการปรับโครงสร้างองค์กรในสหรัฐอาจเฉลี่ยอยู่ที่ 2-4 เดือนต่อแรงงาน 1 คน ขณะที่ในฝรั่งเศสหรือเยอรมันนีอาจสูงถึง 24 และ 30 เดือนตามลำดับ
การมีผลผลิตที่สูงของแรงงาน: แรงงานในสหรัฐมีแนวโน้มของประสิทธิภาพการผลิตที่สูงกว่าในประเทศยุโรปโดยเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับใช้ทางเทคโนโลยี ระดับการศึกษาของแรงงาน และการฝึกฝนของแรงงาน
การใช้จ่ายผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง: ผู้บริโภคในสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะบริโภคมากขึ้น ซึ่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยด้านนโยบาย
สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่ดี: โดยเปรียบเทียบกับประเทศยุโรปพบว่ากฏระเบียบต่างๆในสหรัฐนั้นเป็นมิตรและเอื้อให้กับภาคธุรกิจที่มากกว่า มีข้อจำกัดและความเข้มงวดที่น้อยกว่า
การมีอัตราภาษีธุรกิจที่ต่ำ: ทำให้จูงใจให้เกิดการลงทุนและการขยายธุรกิจในสหรัฐ นำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่แข็งแกร่ง: ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและพัฒนา ปกป้องแนวคิดและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
ตลาดการค้าเสรีและเปิดกว้าง: การที่สหรัฐมีตลาดการค้าที่เสรี มีข้อจำกัดในการเข้ามาที่ต่ำ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตผ่านการส่งออกและนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นและแตกต่างกันของสภาวะเศรษฐกิจและนโยบายในสหรัฐและประเทศยุโรปซึ่งมีผลทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นต่างกัน อย่างไรก็ดีปัจจัยและเงื่อนไขต่างๆสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ สถานะการเมือง และนโยบายรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไป
ประวัติศาสตร์การลงทุนในอดีต
ในปี 1980 ประเทศญี่ปุ่นเคยอยู่ในช่วงที่เกิดการลงทุนอย่างมหาศาล ตลาดหุ้นของญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 1983-1990 และให้ผลตอบแทนที่เอาชนะตลาดอื่นๆของโลก จนถึงจุดหนึ่งที่มูลค่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดทั่วโลก สมัยนั้นประเทศญี่ปุ่นนับเป็นมหาอำนาจด้านการผลิต การจัดการขององค์กรในญี่ปุ่นก็ดีกว่าที่อื่นในโลก และทำให้เกิดการพัฒนาจากประเทศที่มีระดับรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง เงินลงทุนจากต่างชาติก็ไหลเข้ามาลงทุนอย่างมาก อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่เคยขึ้นสูงก็ปรับลงมา และกลายเป็นเวลา 35 ปีต่อมาที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนเป็นศูนย์
สหรัฐในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับญี่ปุ่นในช่วงปี 1980 บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐนั้นเป็นผู้นำของตลาดโลก ดึงดูดคนเก่งและคนฉลาดมากมายทั้งจากในอิเดีย จีน และยุโรป ให้เข้ามาร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดการลงทุนทำให้นักลงทุนสหรัฐจำนวนมากลดการกระจายการลงทุนออกนอกประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ 4 เท่าของมูลค่าทางบัญชีหรือประมาณ 2.7 เท่าของยอดขาย (ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเคยซื้อขายในช่วงฟองสบู่ปี 1980) ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศอื่นๆซื้อขายในระดับต่ำเพียง 1.6 เท่าของมูลค่าทางบัญชีหรือประมาณ 1.2 เท่าของยอดขาย และที่สำคัญกว่านั้นของการซื้อขายในตลาดสหรัฐที่ปรับขึ้นมามากนั้นพบว่าประมาณ 75% มาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการประเมินมูลค่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านพื้นฐานของกิจการ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐที่ยังคงปรับขึ้นได้ดีเกิดจากมุมมองของนักลงทุนที่ยังมองตลาดหุ้นสหรัฐในแง่ดีซึ่งก็เป็นผลมาจากผลงานที่ดีในอดีตของตลาด ซึ่งตลาดหุ้นญี่ปุ่นในอดีตก็ทำให้เห็นแล้วว่าความรู้สึกของนักลงทุนสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว กลยุทธ์การลงทุนที่จะชนะตลาดได้คือการเข้าซื้อในช่วงที่นักลงทุนคนอื่นๆขายนั่นเอง (ทำให้ได้ซื้อของในราคาที่ต่ำ) เหมือนดังที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้
US Versus International Equities
US Versus Emerging-Markets Equities
ตารางข้างต้นแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดในประเทศอื่นๆซึ่งจะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐแม้ว่าจะชนะตลาดอื่นได้ในช่วงเวลาหนึ่งแต่ก็จะตามมาด้วยการแพ้ในอีกช่วงเวลาต่อมา เหตุผลก็เพราะในช่วงเวลาที่ตลาดนั้นๆปรับขึ้นได้ดีก็แปลว่ามูลค่าที่ซื้อขายขณะนั้นแพงขึ้นมากๆแล้วส่งผลให้ความคาดหวังต่อผลตอบแทนที่จะได้อีกในอนาคตนั้นจำกัดลง ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอื่นๆที่ยังซื้อขายในระดับต่ำนักลงทุนก็คาดหวังโอกาสได้ผลตอบแทนที่มากในอนาคตเช่นกัน ส่งผลให้ภาพตลาดปรับขึ้นปรับลงไปมานั่นเอง
ทั้งนี้เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าการเปลี่ยนแปลงภาพของตลาดจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่กันแน่ การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ หรือการลงทุนทั้งในสหรัฐและประเทศอื่นๆพร้อมกันจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้นักลงทุนปรับเปลี่ยนได้เร็วตามภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่ความเป็นจริงนักลงทุนมักจะทำสวนกับหลักการที่ควรจะเป็นหรือควรซื้อเมื่อราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำและขายเมื่อหุ้นราคาแพง นักลงทุนกลับมักซื้อตามเมื่อตลาดหุ้นนั้นๆให้ผลตอบแทนที่ดีในอดีตและขายเมื่อตลาดหุ้นนั้นๆให้ผลตอบแทนที่แย่ ทำให้เกิดจังหวะการลงทุนที่ผิดพลาดหรือเป็นการเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นนั้นๆกำลังจะเข้าสู่การปรับฐานลงดังเช่นตลาดหุ้นสหรัฐในตอนนี้นั่นเอง
การกระจายการลงทุนช่วยได้จริงหรือไม่ในภาวะที่ตลาดหุ้นต่างปรับลดลง
จากเหตุการณ์ในอดีตพบว่าในภาวะที่ตลาดหุ้นแย่ก็มักจะปรับลงเหมือนกันหมดจากความกังวลของนักลงทุน ทำให้ในระยะสั้นการกระจายการลงทุนไปยังหลายๆประเทศอาจไม่ได้ผลดี แต่จะเป็นประโยชน์ในระยะยาวมากกว่าเพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นแต่ละประเทศจะปรับตัวสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่นักลงทุนคาดหวังในอนาคต การกระจายความเสี่ยงระหว่างประเทศยังคงมีความสำคัญและช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ
บทสรุปสำหรับนักลงทุน
ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐนั้นได้ปรับขึ้นและเอาชนะตลาดหุ้นอื่นๆมาได้ในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา ทำให้โดยเปรียบเทียบแล้วมีมูลค่าซื้อขายที่แพงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆเช่นกัน และเชื่อว่าข่าวดีต่างๆของสหรัฐได้สะท้อนออกมาในราคาหุ้นไปมากแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐตอนนี้ซื้อขายอยู่ที่ PE 22 เท่า ซึ่งนับว่าสูงเป็นประวัติศาสตร์ ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆซื้อขายที่ PE เพียง 13 เท่าเท่านั้นเอง
หลักฐานในอดีตชี้ให้เห็นแล้วว่ากลยุทธ์การลงทุนที่ดีคือการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ดีการกระจายการลงทุนในช่วงแรกอาจนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ไม่ดีมากนักหรือไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงมาก และสำหรับนักลงทุนอาจมองการลงทุนในช่วงสั้นๆเท่านั้น แทนที่จะซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่แย่และขายในช่วงเวลาที่หุ้นแพง แต่นักลงทุนมักทำในสิ่งตรงกันข้ามเสมอ นักลงทุนจึงควรมีวินัยในการลงทุนอย่างมากเพื่อให้กระจายการลงทุนได้สำเร็จและเป็นประโยชน์ในการลดความเสี่ยงได้จริง ในอนาคตตลาดหุ้นสหรัฐอาจปรับลดลงอย่างมากและเป็นเหมือนตลาดหุ้นญี่ปุ่นในอดีตก็เป็นได้ การลงทุนที่กระจุกอยู่เพียงที่เดียวจึงไม่น่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีได้