สำหรับนโยบายการเก็บภาษีของทรัมป์จะทำสำเร็จหรือไม่นั้นยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ซึ่งเราประเมินว่ามีโอกาส 10% ในการปรับขึ้นภาษีนำเข้าอีก 10% จากทุกประเทศ และมีโอกาส 36% ในการขึ้นภาษีการค้ากับจีนเป็น 60% และหากมีการปรับใช้คาดว่าจะมีผลต่อ GDP 0.32% ด้านเศรษฐกิจสหรัฐคาดการณ์ว่าจะเติบโต 2.7% ไปตลอดช่วง 5 ปีจากนี้
นโยบายภาษีของทรัมป์
ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น เค้าได้เสนอนโยบายภาษีมากมายซึ่งรวมไปถึงการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียมจากประเทศอื่นๆ10% ขณะที่รอบการหาเสียงในปี 2024 ทรัมป์ก็ได้เสนอว่าจะให้มีการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆขึ้นอีก 10% และ 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน
มีความเป็นไปได้น้อยที่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศจะทำได้จริง
เราคาดว่ามีโอกาสเพียง 10% เท่านั้นที่ปรัมป์จะทำการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้ โดยคาดว่ามีโอกาส 20% ที่ทรัมป์จะพยายามผลักดันเรื่องนี้อย่างหนักและถ้าเกิดขึ้นจริงก็คาดว่ามีโอกาสเพียง 50% ที่จะนำมาใช้ได้สำเร็จ ทั้งนี้อาจเป็นเพียงการพูดเพื่อหาเสียงเหมือนที่เคยทำในอดีตซึ่งสุดท้ายทรัมป์ก็ไม่ได้ผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง สำหรับเหตุผลที่เชื่อว่าทำไมทรัมป์จะไม่ผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แก่
- ข้อเสนอต่างๆนี้อาจเป็นเพียงแค่การหาเสียง และการเจรจาที่ดูจริงจังก็เพื่อแลกมากับสัมปทานจากคู่ค้าของสหรัฐ
- ข้อเสนอของทรัมป์อาจถูกกีดกันจากพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส ภาคธุรกิจ และสมาชิกในกลุ่ม (ได้แก่ อดีตผู้อํานวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ Larry Kudlow)
- ที่ปรึกษาทางการเมือง อาจอ้างถึงความขัดแย้งของนโยบายภาษีศุลกากรกับเป้าหมายนโยบายต่างประเทศ เช่น การสนับสนุนอิสราเอลหรือการต่อต้านอิหร่านหรือจีน
อย่างไรก็ดีหากมีการผลักดันนโยบายนี้อย่างจริงจังเราเชื่อว่าจะมีโอกาสเพียง 50% เท่านั้นที่จะนำมาใช้ได้จริง เนื่องจากการอนุมัติทางกฎหมายดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ การดําเนินการที่จะประสบความสําเร็จจึงขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารในการรวบรวมผ่านร่างกฏหมายต่างๆ
ด้านเหตุผลที่อ้างถึงเรื่องภาษีศุลกากรนั้น คือเรื่องความมั่นคงของชาติ การปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน และการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของจีน ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถใช้ได้กับมาตรการที่จะเก็บภาษีศุลกากรจากทุกประเทศขึ้นอีก 10% แต่เนื่องจากการเป็นประธานาธิบดีก็มีอํานาจตามกฎหมายมากมายที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีได้เช่นกัน
มีความเป็นไปได้สูงสำหรับการขึ้นภาษีการค้ากับจีน
เราคาดว่ามีโอกาส 36% ในการปรับขึ้นภาษีการค้ากับจีน โดยเชื่อว่ามีโอกาสสูงถึง 45% ที่เรื่องนี้จะถูกผลักดันอย่างจริงจังและหากเป็นเช่นนั้นก็มีโอกาสมากถึง 80% ที่จะถูกปรับใช้ได้จริง
โดยเราเชื่อว่าทรัมป์มีแนวโน้มที่จะติดตามเรื่องการขึ้นภาษีศุลกากรจากจีนอย่างจริงจังเนื่องจากความรู้สึกต่อต้านจีนที่เพิ่มมากขึ้น และเมื่อเทียบกับการขึ้นภาษีจากจีนอย่างมากในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในอดีตนั้นก็เป็นไปได้มากที่รอบนี้จะมีการปรับขึ้นภาษีจากจีนอีกเช่นกัน
อย่างไรก็ดี อาจมีเสียงจํานวนมากที่จะกีดกันทรัมป์ไม่ให้ดําเนินการเก็บภาษี 60% โดยเฉพาะจากกลุ่มธุรกิจ ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ส่งออกของสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทสหรัฐฯ ที่ดําเนินงานในจีนอีกด้วย ขณะที่จีนก็ไม่มีอะไรจะเสียด้วยการตอบโต้อย่างรุนแรง อย่างไรก็ดีจีนก็มีแรงจูงใจที่มากเช่นกันในการเสนอข้อแลกเปลี่ยนหรือเสนอสัมปทานเพื่อกีดกันนโยบายภาษีของสหรัฐเนื่องจากจีนมีความจำเป็นในการค้าขายกับต่างประเทศเพื่อชดเชยฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในประเทศ
นโยบายภาษีของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อ GDP ปรับลดลงราว 1.9%
เราประเมินว่านโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าทุกประเทศจะทำให้ GDP ปรับลดลง 1.4% และการขึ้นภาษีจากจีนจะทำให้ GDP ปรับลดลง 0.5% (ทั้งนี้ผลกระทบจากการขึ้นภาษีทางการค้ากับจีนนั้นมีผลกระทบน้อยกว่าเนื่องจากคาดว่าหลายบริษัทจะหลีกเลี่ยงไปส่งสินค้าผ่านประเทศอื่นแทน) ความน่าจะเป็นโดยเฉลี่ยของผลกระทบจากนโยบายภาษีเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 0.32% ของ GDP
ยิ่งอัตราภาษีสูงขึ้นก็ยิ่งมีผลต่อ GDP มากเช่นกันผ่านการปรับเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ แต่ผลต่อเงินเฟ้อก็ยังขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัยรวมถึงนโยบายของ Fed ซึ่งโดยสรุปเราคาดว่าผลกระทบที่มีต่อเงินเฟ้อนั้นคงไม่มาก