We are currently investigating intermittent issues affecting access to some articles and pages on our site. We apologize for any inconvenience and are working to resolve this as quickly as possible.

นโยบายภาษีของทรัมป์ ปี 2025

นโยบายภาษีของทรัมป์ต่อตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2025

Morningstar 02/12/2567
Facebook Twitter LinkedIn

1

หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนที่จะเพิ่มอัตราภาษีเป็นสองเท่า ทำให้คาดว่ากำไรของหลายๆบริษัทถูกกระทบและอาจส่งผ่านต้นทุนเหล่านี้ไปยังผู้บริโภคได้ ทั้งนี้ ทรัมป์ กล่าวว่ามีแผนจะขึ้นภาษีกับประเทศแม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และกับจีนอีก 10% รวมถึงจัดการกับผู้อพยพในสหรัฐ และปัญหายาเสพติด ทันทีที่เขาเริ่มทำงานในตำแหน่ง

ผลของภาษีต่อธุรกิจในอเมริกา

ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ เผยว่าแผนการเก็บภาษีเพิ่มเติมจากประเทศต่างๆจะเป็นการช่วยภาคอุตสาหกรรมในอเมริกาและช่วยให้รัฐบาลสหรัฐมีรายได้เพิ่มเติมมาสนับสนุนรายจ่ายของรัฐบาลในด้านอื่น อย่างไรก็ดียังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ารูปแบบการขึ้นภาษีครั้งนี้จะเป็นอย่างไรแต่เชื่อว่าจะกระทบต่อบริษัทต่างๆในระยะสั้นได้ ประเด็นเรื่องการเก็บภาษีครั้งนี้จึงเป็นตัวแปรหลักในปี 2025 ที่สำคัญ ทั้งรายละเอียดสินค้าที่โดนเก็บภาษี การปรับใช้ และประเทศที่จะโดนบังคับใช้ ซึ่งจะมีผลต่อกำไรของภาคธุรกิจและมูลค่าของกิจการ โดย Preston Caldwell หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Morningstar สหรัฐ เชื่อว่าอัตราภาษีไม่ได้นําไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในระยะยาว แต่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นลดลง

ด้านภาคธุรกิจต่างเริ่มเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรการภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ แล้ว ดังนี้

พร้อมรับการปรับขึ้นของราคาสินค้า

หนึ่งในผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีครั้งนี้คือต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้แทนที่ผู้นำเข้าจะแบกรับต้นทุนไว้เองแต่ก็มีหลายๆบริษัทที่เตรียมส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นนี้ไปให้ผู้บริโภคเพื่อรักษากำไรของธุรกิจไว้ อย่างเช่นบริษัท Stanley Black & Decker, Logitech, Lowe’s และ AutoZone ขณะที่ Ross Stores ตั้งใจจะรักษาระดับราคาสินค้าไว้ก่อนเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน

กระจายห่วงโซ่สินค้าออกจากประเทศจีน

ตั้งแต่จีนกลายเป็นประเทศเป้าหมายในการขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้หลายบริษัทในหลายอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัว เช่น William Sonoma ได้ลดการนำเข้าสินค้าจากจีนลงจากสัดส่วนเดิม 50% เหลือ 25% ในตอนนี้ หรืออย่าง Wolverine ที่ให้น้ำหนักทางการค้ากับเวียดนามและอินโดนีเซียมากขึ้นแทน

บริษัทเริ่มกักตุนสินค้าล่วงหน้า

อีกประเด็นที่เริ่มเห็นผลในระยะสั้นแล้วคือการที่บริษัทต่างๆเริ่มสั่งสินค้ามากักตุนล่วงหน้าก่อนที่มาตรการภาษีจะเริ่มใช้ อย่างเช่นบริษัท Lifetime Brands ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้กักตุนสินค้าล่วงหน้าแล้วก่อนที่มาตรการภาษีจะถูกปรับใช้ แม้จะทำให้มีต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้นและสภาพคล่องน้อยลงก็ตาม หรืออย่างบริษัท TJX ที่เห็นว่าการนำเข้าสินค้ามาผลิตแต่เนินๆทำให้มีความได้เปรียบจากราคามากขึ้น

บทสรุปสำหรับนักลงทุน

บริษัทต่างๆก็ยังไม่แน่ชัดว่าผลสุดท้ายมาตรการภาษีจะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งที่ทำได้คือการเตรียมรับมือต่อการค้าโลกที่อาจเปลี่ยนแปลงไปโดยสร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กรมากขึ้น  

นักวิเคราะห์เชื่อว่าผลกระทบต่อมูลค่ากิจการจะมีมากน้อยแตกต่างกันไป บริษัทที่มีการนำเข้าสินค้าจำนวนมากก็อาจได้รับผลกระทบต่ออัตรากำไรได้มาก ส่วนกิจการที่พึ่งพิงสินค้าจากในประเทศหรือไม่ได้นำเข้าจากประเทศที่เป็นเป้าหมายก็อาจได้ประโยชน์มากกว่าคู่แข่ง และบริษัทที่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าได้ดีก็อาจเห็นผลกระทบต่อปริมาณการขายสินค้าบ้างแต่ภาพรวมกำไรก็ยังเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ Solita Marcelli  หัวหน้ากลุ่มงานลงทุนที่ UBS Global Wealth Management เห็นว่าตลาดหุ้นอาจผันผวนจากประเด็นภาษีในช่วงสั้นแต่ภาพรวมเชื่อว่ายังดีต่อตลาดหุ้นโลก และสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มการเงินก็ยังเป็นที่น่าสนใจ

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar