หลังจากที่ตลาดหุ้นจีนเริ่มฟื้นตัวจากที่อยู่ในระดับตกต่ำมานาน ทรัมป์ก็ได้รับการเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง และทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับลดลงทันที เงินทุนไหลออกจากจีน นักลงทุนต่างรอดูผลกระทบที่เกิดขึ้นและการตอบรับของจีนว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
สงครามการค้าจีนกับสหรัฐรอบ 2
ในระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ได้เสนอว่าจะขึ้นกำแพงภาษี 60% หรือมากกว่านั้นจากสินค้าที่มาจากจีนเพื่อเป็นการป้องกันอุตสาหกรรมและตำแหน่งงานในสหรัฐ ซึ่งก็มีบางเสียงที่เชื่อว่าไม่อาจทำได้ง่าย อย่างเช่น Lynn Song หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ ING เชื่อว่าตัวเลข 60% นั้นจะเป็นเพียงจุดตั้งต้นก่อนที่จะมีการเจรจาต่อรอง เพราะอย่างสงครามการค้ารอบที่แล้วก็จบลงด้วยดีจากการที่จีนเจรจานำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มมากขึ้นแทน นอกจากนี้การปรับใช้กำแพงภาษีรอบใหม่อาจเริ่มเร็วสุดในไตรมาส 3 ปีหน้าและมีผลตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2025 หรือเริ่มในปี 2026 ไปเลย
Sandy Pei ผู้จัดการกองทุนที่ Federated Hermes กล่าวว่าจีนได้เตรียมพร้อมรับเรียบร้อยแล้วก่อนที่สหรัฐจะมีรัฐบาลใหม่ในปีหน้า โดยบริษัทในจีนได้เพิ่มฐานการผลิตในประเทศอื่นๆ เช่นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป แม็กซิโก และในสหรัฐ นอกจากนี้การที่ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าได้อีก ทำให้สินค้าส่งออกจากจีนนั้นถูกลงและการนำเข้าของจีนจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้นลูกค้าที่นำเข้าสินค้าจากจีนอาจได้รับผลกระทบทางภาษีบ้างแต่โดยรวมก็พอหักล้างกันไปได้
การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
ในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้หลังจากที่มีแนวโน้มว่าทรัมป์จะได้รับชัยชนะและมีความกังวลต่อมาตรการภาษีใหม่ ก็มีผลทำให้จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรองรับภาคการส่งออกที่อาจจะได้ผลกระทบทางลบ เช่นการออกนโยบายการเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจในเดือนกันยายนซึ่งก็ช่วยทำให้ตลาดหุ้นจีนถูกกระตุ้นให้ปรับขึ้นได้บ้างในระยะสั้น
ในเดือนพฤศจิกายนจีนก็ได้มีมติอนุมัติโครงการมูลค่า 10 ล้านล้านหยวน เพื่อช่วยรีไฟแนนซ์หนี้รัฐบาลท้องถิ่นในจีน ซึ่งจะทำให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถออกพันธบัตรพิเศษเพิ่มเติมได้อีกราว 6 ล้านล้านหยวนในระยะเวลา 3 ปี และรัฐบาลท้องถิ่นยังได้โควตาออกบอนด์พิเศษเพิ่มอีก 4 ล้านล้านหยวนภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งแม้จำนวนวงเงินนี้จะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์แต่ก็ยังมีคำถามถึงความกังวลว่ารัฐบาลจีนไม่ได้กล่าวถึงการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในตลาดที่ขายไม่ออกมานานหรือการกระตุ้นการบริโภคในประเทศเลย
หุ้นจีนมีความเสี่ยงมากกว่าเดิมหรือไม่
ตลาดหุ้นจีนมีเงินไหลออกและราคาปรับลดลงซึ่งเป็นการตอบรับการมาของทรัมป์ในครั้งนี้ ข้อมูลจาก Morningstar ชี้ว่าในช่วงสัปดาห์ของการเลือกตั้งสหรัฐนั้นมีเงินไหลออกจากกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจีนกว่า 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ตลาดหุ้น Hang Seng index ของฮ่องกงก็ปรับลงแรงมากกว่าตลาดหุ้น Shanghai และ Shenzhen ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่างชาติที่มีมากกว่านักลงทุนในประเทศจีนจากผลการเลือกตั้งสหรัฐในครั้งนี้
อย่างไรก็ดี Sandy Pei เชื่อว่าการมาของทรัมป์ไม่ได้มีผลต่อภาพตลาดหุ้นจีนในอนาคต ราคาหุ้นในตลาดได้สะท้อนภาพความขัดแย้งทางการเมืองไปมากแล้ว แม้แนวโน้มในอนาคตยังเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคง แต่จีนกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านมากกว่าภาพที่จะแย่ลงในอนาคต แม้จีนจะต้องใช้เวลานานในการปฎิรูปตัวเองแต่เชื่อว่าจะไม่แย่มากในท้ายที่สุด และแม้ว่านโยบายของทรัมป์จะกระทบทางลบต่อผู้ส่งออกในจีนที่เป็นคู่แข่งสำคัญกับสหรัฐ แต่เชื่อว่าผู้ส่งออกจีนจะหันมาเน้นลูกค้าในประเทศมากขึ้น และหลายๆอุตสาหกรรมก็มีการสร้างระบบ Supply chains ออกไปนอกประเทศจีนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเทคโนโลยี เฮลแคร์ กลุ่มสินค้าอุปโภคขั้นสูง และภาคการผลิต ด้าน Lynn Song ก็เชื่อว่าปัจจัยในประเทศอย่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการปฎิรูปเศรษฐกิจในประเทศจะเป็นบทบาทสำคัญที่มีผลต่อตลาดหุ้นจีนมากกว่าการมาของทรัมป์
ข้อมูลจาก Morningstar Global Market Barometer ชี้ว่าตลาดหุ้นจีนปัจจุบันยังซื้อขายที่ราคาตลาดในระดับต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงกว่า 18% และข้อมูลจาก CEIC ชี้ว่า PE ปัจจุบันของ Shanghai Stock Exchange อยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015