ความเสี่ยงของ ESG ที่นักลงทุนอาจไม่รู้

การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพหรือการลดลงของความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของพืชและสัตว์ในระบบนิเวศทางธรรมชาติ

Morningstar 27/10/2567
Facebook Twitter LinkedIn

การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพหรือการลดลงของความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของพืชและสัตว์ในระบบนิเวศทางธรรมชาติได้กลายเป็นความเสี่ยงใหม่ที่รุนแรงสำหรับนักลงทุน โดยรายงานความเสี่ยงล่าสุดจาก World Economic Forum ระบุว่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและความล้มเหลวของระบบนิเวศจะเป็นความเสี่ยงที่รุนแรงมากเป็นอันดับ 3 ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งกว่า 50% ของ GDP โลกยังขึ้นอยู่กับระบบนิเวศนี้ในระดับที่มากด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ภาคธุรกิจมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งการใช้พื้นที่เพื่อขยายการทำเกษตรกรรม การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากจนเกินไป และการก่อให้เกิดมลพิษ

ในปี 2022 ได้มีการออกกฎระเบียบและหลักเกณฑ์ต่างๆเพื่อช่วยให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงและผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพสําหรับธุรกิจ และหนึ่งในหลักการณ์ที่มีชื่อเสียงและมีบริษัทกว่า 400 แห่งเข้าร่วมในการปรับใช้ตามคำแนะนำคือ การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติหรือ Taskforce on Nature-related Financial Disclosures (TNFD)

อย่างไรก็ดีการพัฒนาเรื่องการลงทุนโดยพิจารณาเรื่องของความหลากหลายทางชีวภาพหรือ Biodiversity ยังเป็นไปอย่างช้าๆ และกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นเรื่อง Biodiversity ยังมีน้อยมาก โดยมีเพียง 34 กองทุนเปิดและรวมถึง ETFs ที่ทาง Morningstar ระบุได้ว่ามีกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นเรื่อง Biodiversity ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่อยู่ในยุโรปเป็นหลัก ส่วนกองเดียวที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า Karner Blue Biodiversity Impact fund ก็ได้ปิดกองไปแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ทั้งนี้ขนาดของกองทุนประเภท Biodiversity มีมูลค่าสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งกลุ่มออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ Risk-oriented, Mixed, Solutions-focused

 

  • 1Biodiversity risk-oriented funds เน้นลงทุนในบริษัทที่มีเป้าหมายลดผลกระทบที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการเกิดของเสีย และเน้นปกป้องผลผลิตทางชีวภาพโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงธรรมชาติสูง เช่น การเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม การก่อสร้าง เป็นต้น ตัวอย่างบริษัทที่เป็นที่นิยมลงทุนในกลุ่มนี้ เช่น Compass Group
  • Solutions-focused funds เน้นลงทุนในบริษัทที่ช่วยปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพผ่านผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน เช่น Xylem บริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนาโซลูชั่นสําหรับการจัดการน้ำและน้ำเสีย หรือ Deere ผู้ผลิตเครื่องจักรทางการเกษตร การก่อสร้าง และป่าไม้
  • Mixed funds เน้นลงทุนทั้งในบริษัทที่มีเป้าหมายลดผลกระทบที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพและช่วยปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนทั้ง 3 แบบนี้มีผลต่อพอร์ตการลงทุนที่แตกต่างกัน ทั้งช่วยลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนไปจนถึงช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเกณฑ์ชี้วัดได้

ในส่วนของมูลค่าสินทรัพย์กองทุนและ ETFs ที่เน้นเรื่อง Biodiversity ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้นเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นเป็นการลงทุนในกองประเภท Solutions-focused funds

1

อย่างไรก็ตามในปี 2024 กองทุนประเภท Biodiversity ก็เจอแรงขายจากนักลงทุนเช่นเดียวกับกอง ESG ทั่วไป โดย Biodiversity funds ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีเงินไหลออกสุทธิ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับปี 2022-2023 ที่มีเงินไหลเข้าสุทธิ 1,530 และ 1,220 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ

1

กองทุนที่เงินไหลออกเยอะได้แก่ NT World Natural Capital PAB Index Fund และ Federated Hermes Biodiversity Equity Fund แต่ก็มีบางกองทุนที่เงินไหลเข้าสุทธิแทนอย่างเช่น Pictet-Regeneration Solutions และ AXA World Funds-ACT Biodiversity Solutions

โดยรวมนักลงทุนยังแสวงหาการลงทุนที่มีผลลัพธ์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและให้ผลตอบแทนที่ดีควบคู่กันไป บริษัทที่มีสินค้าและบริการที่มีส่วนช่วยปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติจะได้รับประโยชน์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการลงทุนไปด้วย

1

บริษัทในยุโรปและสหรัฐเป็นส่วนใหญ่ที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนแบบ Biodiversity

ส่วนใหญ่แล้วบริษัทที่ได้อยู่ในพอร์ตการลงทุนที่เน้นเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพหรือ Biodiversity จะเป็นบริษัทที่อยู่ในประเทศสหรัฐและยุโรปเป็นส่วนมากขณะที่ประเทศเกิดใหม่ยังมีน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในสหรัฐและยุโรปยังมีความเสี่ยง ESG ที่ต่ำกว่าและมีนโยบายในการจัดการกับการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ แต่โดยเฉลี่ยแล้วกองทุนจะให้น้ำหนักการลงทุนที่มากในยุโรปและให้น้ำหนักการลงทุนที่น้อยในสหรัฐ

1

ส่วนใหญ่กองทุนประเภทนี้จะให้น้ำหนักการลงทุนส่วนใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมและทำให้มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจที่มากกว่าตลาดโดยเปรียบเทียบ นอกจากนี้ Biodiversity funds ยังมีน้ำหนักการลงทุนที่น้อยในภาคเทคโนโลยี และไม่มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเลย

1

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar