แม้ปีมังกรปีนี้ควรจะเป็นปีที่ดี แต่สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนกลับเจอแต่ความผันผวนของตลาด ในช่วงเดือนกันยายนหลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดต้นทุนการกู้ยืมเพื่อช่วยตลาดอสังหาริมทรัพย์และมาตรการเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นนั้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น CSI 300 หรือ Hang Seng รวมไปถึงหุ้นที่เชื่อมโยงกับประเทศจีน เช่น หุ้นสินค้าแบรนด์หรูในยุโรปก็ปรับขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีช่วงต้นเดือนตุลาคมตลาดหุ้นจีนก็ปรับลดลงอีกครั้งหลังนักลงทุนจับตาดูว่ารัฐบาลจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆเพิ่มเติมอีกหรือไม่
ตลาดหุ้นจีนยังมีความผันผวนได้อีกมาก
Nicolò Bragazza รองผู้จัดการที่ Morningstar Investment Management กล่าวว่าการปรับลงของตลาดหุ้นจีนหลังจากที่ปรับขึ้นแรงในครั้งนี้เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ตลาดหุ้นจีนตกต่ำมานานพอได้รับแรงกระตุ้นจึงปรับขึ้นมาก ขณะที่นักลงทุนยังคงรอความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายในอนาคต ด้านตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนได้ต่อเนื่องและปรับลงได้มากหากนักลงทุนผิดหวังจากนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ดีด้วยราคาของหลักทรัพย์ที่ปรับลงมามากเมื่อเทียบกับมูลค่าที่เหมาะสมของกิจการทำให้การถือลงทุนระยะยาวยังน่าสนใจ
ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นจีน
ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นแรงหลังจากมีประกาศใช้หลายมาตรการ เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกหนี้ที่อยู่อาศัยปัจจุบัน การออกมาตรการเสริมสภาพคล่องในตลาดหุ้นผ่านการซื้อหุ้นคืนของบริษัทเอกชนและกองทุน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลจีนหันมาเน้นการเติบโตและขับเคลื่อนด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ตลาดได้รับรู้ไปมากแล้วภาพจากนี้จึงต้องรอผลของนโยบายว่าจะมีผลเป็นอย่างไรและนโยบายการคลังก็เป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญเพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืดและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ ทั้งนี้ประมาณ 60% ของชาวจีนมีสินทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ราคาที่อยู่อาศัยในจีนปรับลดลง 30-40% ทำให้ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของชาวจีนนั้นลดลง
สิ่งที่นักลงทุนคาดหวัง
Sharukh Malik ผู้จัดการกองทุน Bronze-rated Guinness China A Share Fund เห็นด้วยกับแนวทางนี้และเชื่อว่ารัฐบาลควรสนับสนุนผู้บริโภคมากขึ้นเนื่องจากเป็นสิ่งที่ถูกละเลยมานาน และควรขยายขนาดของมาตรการกระตุ้นให้มากขึ้นด้วย โดยมาตรการกระตุ้นการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ที่ออกมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรเพิ่มเติม เช่น การแจกเงินเพื่อให้สามารถนำไปใช้จ่ายที่หลากหลายได้ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม เป็นต้น นอกจากนี้เชื่อว่ารัฐบาลยังเตรียมพร้อมที่จะออกพันธบัตรพิเศษเพื่อระดมทุนสำหรับส่งเสริมการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
จีนจะเหมือนญี่ปุ่นหรือไม่
Sandy Pei ผู้จัดการกองทุนที่ Bronze-rated Federated Hermes China Equity Fund เชื่อว่าการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยแก้ปัญหาเงินฝืดและป้องกันจีนซ้ำรอยสิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นเคยเจอได้ แม้ว่าตลาดหุ้นจีนจะปรับลงมามากจนมีราคาที่ถูกมากก็จริงแต่นักลงทุนยังขาดความมั่นใจในการเข้าลงทุน แต่เชื่อว่าหากได้รับความมั่นใจกลับมาและภาพเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวก็จะเห็นการกลับมาของนักลงทุนอีกครั้ง แต่หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปโดยไม่เข้ามาช่วยเหลืออนาคตประเทศจีนคงเป็นเหมือนญี่ปุ่นที่ผ่านมาและตลาดหุ้นก็ยังคงลดต่ำลงต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากถึง 20% ก็จริงแต่ก็ไม่มีคนอยากเข้ามาลงทุนเนื่องจากยังกังวลต่อราคาที่อยู่อาศัยที่ยังอ่อนแอ สิ่งที่จีนต้องทำคือการกระตุ้นการบริโภคเพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจให้เติบโต
ตลาดหุ้นจีนเป็นอย่างไร
การปรับขึ้นของตลาดหุ้นจีนในครั้งนี้ทำให้กระตุ้นความต้องการเข้ามาซื้อขายในตลาดมากขึ้น โดยนักลงทุนรายย่อยมีการเข้าเปิดบัญชีใหม่ในตลาดหุ้นจำนวนมาก ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคก็มีราคาปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันเพราะเชื่อว่าการบริโภคจะฟื้นตัวเร็วๆนี้ รวมไปถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมก็ปรับขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ หุ้นที่ขึ้นนำ 3 อันดับแรกใน Morningstar China Index ได้แก่ JD.com JD (+56.58%), PDD Holdings PDD (+55.26%) และ Meituan MPNGY (+51.56%)