หากพรรครีพับลิกันซึ่งนำโดยทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐและได้เป็นประธานาธิบดีครั้งนี้ เราเชื่อว่ามีโอกาส 7.5% ที่จะทำการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ 10% และมีโอกาสมากถึง 32% ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 60% และคาดว่าจะมีผลกระทบต่อ GDP สหรัฐประมาณ 0.13% และกระทบต่อ GDP ในอีก 5 ปีจากนี้ 0.2%
แผนการเก็บภาษีของทรัมป์
ในสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีได้มีแผนการเก็บภาษีหลายรายการ ทั้งภาษีเหล็ก 25% และภาษี 10% สําหรับการนําเข้าอลูมิเนียมจากประเทศส่วนใหญ่ หลังจากนั้นทรัมป์ได้แสดงการสนับสนุนการใช้ภาษีเพิ่มเติมในระหว่างการหาเสียงในปี 2024 โดยเสนอให้ขึ้นภาษี 10% สําหรับการนําเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ และภาษี 60% สําหรับการนําเข้าจากจีน
ด้าน คามาลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต ไม่ได้เสนอถึงแผนการขึ้นภาษีที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็มีแผนการที่จะใช้เรื่องภาษีในการสนับสนุนภาคแรงงานของชาวอเมริกาเพื่อเสริมสร้างภาคเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง
ความเป็นไปได้ในการขึ้นภาษีนำเข้าโดยรวมยังต่ำ
หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เราคาดว่ามีโอกาสเพียง 7.5% ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าในสหรัฐ 10% และหากมีการนำมาตรการภาษีนี้มาใช้ก็คาดว่ามีโอกาสเพียง 50% เท่านั้นที่จะนำมาใช้ได้จริง เนื่องจากเรามองว่า
- ข้อเสนอเหล่านี้เป็นเพียงการหาเสียงและใช้เพื่อดึงดูดคู่ค้าทางธุรกิจ
- ทรัมป์อาจถูกกีดกันโดยการต่อต้านจากพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส กลุ่มธุรกิจ และสมาชิกของเขา
- อาจมีข้อขัดแย้งระหว่างนโยบายภาษีกับเป้าหมายนโยบายต่างประเทศ เช่น การสนับสนุนอิสราเอลหรือการต่อต้านอิหร่านหรือจีน
ทั้งนี้การอนุมัติทางกฎหมายดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ดังนั้นการดําเนินการที่ประสบความสําเร็จจึงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการทางกฎหมาย อย่างไรก็ดีการอ้างถึงประเด็นความมั่นคงของชาติ การค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน และการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา อาจไม่สามารถใช้ได้กับมาตรการภาษีนำเข้า 10% ที่จะใช้ร่วมกันทุกรายการสินค้าจากทุกประเทศ แต่ประธานาธิบดีก็มีอํานาจตามกฎหมายมากพอในการที่จะปรับใช้เรื่องอัตราภาษี
มีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะดําเนินการขึ้นภาษีกับจีน
หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี เราคาดว่ามีโอกาสถึง 32% ที่จะมีการนำมาตรการเก็บภาษีกับจีนมาใช้ และมีความเป็นไปได้ถึง 40% ที่จะถูกผลักดันอย่างจริงจังและหากเป็นเช่นนี้ก็มีโอกาสถึง 80%ที่นำมาใช้จริง
โดยทรัมป์มีแนวโน้มที่จะดําเนินการเก็บภาษีศุลกากรกับจีนอย่างจริงจังเนื่องจากความรู้สึกต่อต้านจีนที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เชื่อว่าจะมีความพยายามจากภาคธุรกิจในการต่อต้านทรัมป์ไม่ให้ดําเนินการเก็บภาษี 60% จากจีนเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ส่งออกเท่านั้นแต่ยังรวมถึงบริษัทสหรัฐฯที่ดําเนินงานในจีนด้วย ในขณะเดียวกันจีนก็มีแรงจูงใจที่จะเสนอผลประโยชน์เพื่อกีดกันมาตรการภาษีศุลกากรครั้งนี้เนื่องจากจีนต้องการทำการค้าต่างประเทศเพื่อชดเชยปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ซึ่งแตกต่างจากปี 2018-19 ที่ประเทศอื่นๆเพิ่มมาตรการต่อต้านจีน
มาตรการภาษีของทรัมป์มีผลกระทบให้ GDP ลดลง 1.9%
เราคาดว่าหากมีการใช้มาตรการภาษีสําหรับการนําเข้าทั่วไปจะทำให้ GDP สหรัฐลดลง 1.4% และหากใช้มาตรการภาษีทางการค้ากับจีน GDP สหรัฐจะลดลง 0.5% ทั้งนี้เราคาดว่าผลกระทบจะน้อยลงจากการเก็บภาษีศุลกากรของจีน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่หลายบริษัทจะหลบเลี่ยงภาษีโดยเปลี่ยนไปทำการค้าผ่านประเทศที่สาม ทั้งนี้หากภาษียิ่งสูงก็ยิ่งมีผลต่อ GDP มากและทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ดีผลกระทบต่อเงินเฟ้อก็ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยรวมไปถึงมาตรการของธนาคารกลางสหรัฐด้วย โดยเราคาดว่าผลกระทบที่มีต่อเงินเฟ้อยังมีจำกัด
นโยบายการคลังหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้เราคาดว่าการขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯ จะอยู่ที่เฉลี่ย 8.2% ของ GDP ในปี 2025-26 จากนั้นลดลงเหลือ 7.4% ในปี 2027-28 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ซึ่งการขาดดุลยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโรคระบาดที่ 6.4%
อย่างไรก็ตาม พรบ.การลดภาษีและการจ้างงานในปี 2017 กำลังจะหมดอายุลงในปี 2026 และมีแนวโน้มว่าทางการเมืองจะเข้าแทรกแซงเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีครั้งใหญ่ ซึ่งหากการเก็บภาษีกลับมาจะมีผลทางลบต่อ GDP สหรัฐ 1.3% ทั้งนี้เราคาดว่าการลดภาษีอาจยังทำได้ต่อในบางส่วนทำให้คาดว่าจะกระทบการขาดดุล GDP 1.0% แต่ก็คาดว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะลดลงตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดบสรุปคือด้วยภาวะขาดดุลทางการคลังและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาทำให้ทางเลือกทางการเมืองมีไม่มากและการขาดดุลไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม
ความแตกต่างเรื่องคนเข้าเมืองในสหรัฐจะลดน้อยลงในรัฐบาลชุดถัดไป
การเรียกร้องให้มีการเนรเทศผู้คนจำนวนมากในสมัยที่ทรัมป์ใช้หาเสียงในปี 2016 พบว่านำมาผลักใช้จริงน้อยในยุคสมัยที่เค้าได้เป็นประธานาธิบดีในอดีต เนื่องจากมีอุปสรรคหลายด้านโดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรใหม่จํานวนมากเพื่อมาทดแทน ซึ่งจะต้องมีกฎหมายใหม่รองรับด้วย ขณะเดียวกันในช่วงสมัยของทรัมป์พบว่ามีการปฎิบัติจริงเพียงเล็กน้อยเพื่อขัดขวางการไหลเข้าของการย้ายถิ่นฐานอย่างถูกกฎหมายในช่วงวาระของเขา
ในทางกลับกันในทางการเมืองก็มีความไม่พอใจอย่างมากต่อการย้ายถิ่นฐานแบบผิดกฏหมายที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2022-23 ซึ่งจากข้อมูลพบว่าการปะทะในพื้นที่ชายแดนได้ลดลงเทียบเท่าปี 2019 ซึ่งเราคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไปไม่ว่าใครจะได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี