อัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงในช่วงเดือนเมษายนส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลงจากความกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องนานกว่าคาด อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นกลับมาได้ในช่วงสิ้นไตรมาสแม้ว่า FED ส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยลงจาก 3 เหลือ 1 ครั้งก็ตาม เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาอ่อนตัวลงและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกที่ออกมาดี ทำให้ US Market Index เพิ่มขึ้น +3.48% ในไตรมาสที่ 2 และหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสนี้ ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ Bond yield ปรับลดลงเล็กน้อย ทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับขึ้นได้เช่นกัน
สรุปภาพตลาดไตรมาส 2
- หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐ นำโดย Nvidia ส่วนหุ้นกลุ่ม Value ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าหุ้นกลุ่ม Growth และหุ้นกลุ่มปันผลก็ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าตลาดรวม ส่วนหุ้น Alphabet ประกาศจ่ายปันผลเป็นครั้งแรกในรอบนี้
- Bond yield ปรับลดลงในไตรมาสที่ผ่านมาทำให้ US Core Bond Index เพิ่มขึ้น +0.17% และนักลงทุนยังคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนกันยายน
- ราคาน้ำมันปรับลดลงในช่วงไตรมาส 2 จึงช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลง ขณะที่ราคาทองแดงเพิ่มขึ้น +8.51% ส่วน Bitcoin ก็ปรับลดลงเช่นกัน
ตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นในเดือนเมษายนปรับลดลง -5.6% จากเดือนก่อนหน้า หลังจากตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาแข็งแกร่ง และตลาดหุ้นปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมและปิดไตรมาสที่ผลการดำเนินงาน +3.48%
หุ้นกลุ่ม AI เพิ่มขึ้น +36.74% ในไตรมาสนี้และเพิ่มขึ้นกว่า +200% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา นำโดย Nvidia รองลงมาคือ Apple, Microsoft, Alphabet ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามมา ขณะที่นักกลยุทธ์ยังคงเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายในหุ้นกลุ่มนี้เนื่องจากราคาซื้อขายอยู่ในระดับที่สูงมากแล้วซึ่งสะท้อนต่อความคาดหวังต่อผลการดำเนินงานที่จะออกมาดี ซึ่งหากออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ก็อาจทำให้ราคาหุ้นปรับลงได้มาก
หุ้นกลุ่ม Value และ Growth
ในไตรมาสที่ 2 พบว่า US Value Index ปรับลดลง -1.47% เทียบกับ US Growth Index ที่เพิ่มขึ้น +2.42% ทั้งนี้มีเพียงหุ้นขนาดใหญ่เท่านั้นที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นขนาดเล็กปรับลดลงในไตรมาส 2 แต่หากดูทั้งปีพบว่าหุ้นทั้งขนาดใหญ่และเล็กยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสื่อสารคือกลุ่มที่ยังนำตลาดหุ้นให้ปรับเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มเทคโนโลยี +1.40% สื่อสาร +9.16% ขณะที่หุ้นกลุ่มวัฐจักรนั้นปรับลลดงในไตรมาสนี้ เช่น กลุ่มพลังงาน อุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ด้านกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังคงไม่ดีมากเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง
หุ้นกลุ่มปันผล
ในไตรมาส 2 ราคาหุ้นกลุ่มปันผลยังคงทำได้ดีน้อยกว่าตลาดหุ้นโดยรวม ทั้งนี้ Dividend Composite ลดลง -0.1% US Dividend Growth Index ลดลง -0.3% และ Dividend Leaders Index ลดลง -0.1% สำหรับ Alphabet ได้ประกาศจ่ายปันผลเป็นครั้งแรกในช่วงเมษายนที่ผ่านมา โดยนักกลยุทธ์เชื่อว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะยังคงจ่ายปันผลได้แต่อยู่ในระดับไม่สูงมาก
ตลาดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงในเดือนกันยายน
หลังจากที่ Fed คงอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายไว้ที่ 5.25%-5.50% เป็นเวลาเกือบ 2 ปี และนักลงทุนในตลาดต่างคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้โดยที่ Bond yield ในช่วงต้นปีได้ปรับลดลงสะท้อนการลดดอกเบี้ยในปีนี้มากถึง 6-7 ครั้ง อย่างไรก็ดีตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ยังสูงทำให้นักลงทุนเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยลงเหลือ 1-2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งคาดว่าในเดือนกันยายนนี้มีโอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลง 0.25%
ตลาดตราสารหนี้
ตลาดตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกในไตรมาส 2 หลังจากที่นักลงทุนเริ่มมั่นใจต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับลดลง 0.3% จากเดือนเมษายนมาปิดไตรมาสที่ 4.37% ส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับเพิ่มสูงขึ้นแทน ทั้งนี้ Core Bond Index ให้ผลตอบแทน +0.17% สอดคล้องไปกับผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐหรือ US Treasury bond ที่ให้ผลตอบแทน +0.18% ส่วนกลุ่มHigh-yield ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ +1.07%
ผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น
ในไตรมาส 2 อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ยังอยู่ในภาวะ Inverted (ผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นสูงกว่าผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาว) ซึ่งเป็นการสะท้อนมุมมองนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีในอนาคต ซึ่งปกติภาวะดังกล่าวมักเกิดในช่วงที่คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต
ความผันผวนของตลาดหุ้นและตราสารหนี้
ความผันผวนของตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของความผันผวนในอดีต ส่วนตลาดตราสารหนี้ความผันผวนยังสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดและน้อยที่สุดในไตรมาส 2
หุ้นกลุ่ม Semiconductors ให้ผลตอบแทนมากที่สุดในไตรมาส 2 โดย US Semiconductor Index +22.55% ซึ่งนำโดยหุ้น Nvidia รองลงมาคือ Broadcom นอกจากนี้ Global Banks Loan Index ยังใหผลตอบแทนมากถึง +25.33% เช่นกัน ส่วน Mexico Index ปรับลดลง -15.33% ในไตรมาสที่ผ่านมาหลังจากมีความกังวลทางการเมืองในประเทศ เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมันที่ลดลงเช่นกัน
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
ราคาน้ำมัน WTI ปรับลดลง -2.59% ในไตรมาสที่ 2 หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นมากว่า +18%ในช่วงต้นปี ซึ่งการปรับลดลงครั้งนี้ทำให้ต้นทุนพลังงานและราคาสินค้าปรับลดลงได้บ้าง ด้านราคาทองคำเพิ่มขึ้น +4.08% และราคาทองแดงปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า +25%ในระหว่างไตรมาสก่อนที่จะลดลงและปิดไตรมาส +8.51% ทั้งนี้ราคาทองแดงถูกใช้มากในภาคอุตสาหกรรม การที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นก็เป็นเหมือนการสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ตลาด Cryptocurrency
ราคาสินทรัพย์ในกลุ่มนี้ปรับลดลงในไตรมาสที่ 2 จากที่ปรับขึ้นได้ดีในไตรมาสแรกของปีนี้จากการที่Spot bitcoin exchange-traded funds ได้รับการอนุมัติให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยราคา Bitcoin ปิดไตรมาส 2 ที่ราคา 60,000 เหรียญ ลดลง -13.64% จากราคาสูงสุดใหม่ช่วงเดือนมีนาคมที่ 73,000 เหรียญ ส่วน Ethereum ปิดไตรมาสลดลง -5.57%