We are currently investigating intermittent issues affecting access to some articles and pages on our site. We apologize for any inconvenience and are working to resolve this as quickly as possible.

โอกาสลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐ

โอกาสลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐในเดือนมิถุนายน หลังจากตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัว

Morningstar 11/06/2567
Facebook Twitter LinkedIn

ตลาดหุ้นสหรัฐในเดือนพฤษภาคมฟื้นกลับมาดีขึ้นจากที่ปรับลดลงในเดือนเมษายน ทั้งนี้ Morningstar US Market Index เพิ่มขึ้น 4.72% ในเดือนพฤษภาคม จากที่ปรับลดลง 4.30% ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม Morningstar US Market Index เพิ่มขึ้น 10.48% ด้านสัดส่วนราคาในตลาดต่อมูลค่าที่แท้จริงก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.01เท่า จาก 0.98 เท่าในเดือนเมษายน

1

จากการปรับฐานของตลาดหุ้นรอบนี้นักลงทุนควรเริ่มมองหามุมการลงทุนที่แตกต่าง โดยเฉพาะในบริษัทที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือราคาหุ้นยังปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดรวม และไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป ซึ่งอาจเป็นหุ้นที่มี Story รออยู่แต่ต้องใช้เวลารอคอย เช่นกำลังจะฟื้นจากขาดทุนหรือมีปัจจัยขับเคลื่อนอื่น แม้จะมีความเสี่ยงในระยะสั้นก็ตาม เช่นหุ้นของบริษัท International Flavors & Fragrances ซึ่งที่ผ่านมาโดนผลกระทบทั้งจากการไปซื้อกิจการอื่นๆซึ่งไม่ประสบความสำเร็จจนต้องเริ่มขายกิจการอื่นทิ้งและเน้นทำธุรกิจหลักมากขึ้น รวมถึงยังโดนผลกระทบจากช่วงโควิดที่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากลูกค้าจำนวนมากเพื่อกักตุนสินค้า ทำให้คำสั่งซื้อในปัจจุบันยังไม่กลับมาเท่าเดิมจากที่ลูกค้ายังขายสินค้าที่กักตุนไว้ก่อนหน้านี้อยู่ แต่ก็คาดว่าจะกลับมาโตได้ปกติในปีหน้าเป็นต้นไป

กลุ่ม Growth stocks ฟื้นตัวมากที่สุด

หากแบ่งตามลักษณะหุ้น พบว่าหุ้นกลุ่ม Growth ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในเดือนที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้น 4.59% ตามมาด้วยกลุ่ม Value +3.79% และกลุ่ม Core +3.17% และถ้าดูตามมูลค่าตลาดหรือ Market capitalization พบว่ากลุ่ม Large-cap เป็นผู้นำตลาดโดย +5.43% ตามมาด้วย Small-cap + 4.24% และ Mid-cap +2.40%

ด้านมูลค่าซื้อขายเทียบกับมูลค่าที่ควรจะเป็น พบว่าหุ้นกลุ่ม Value น่าสนใจที่สุดเนื่องจากราคายังต่ำกว่ามูลค่า 7% ส่วนหุ้นกลุ่ม Growth ราคาปัจจุบันสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง 1% และกลุ่ม Core stocks ซื้อขายสูงกว่ามูลค่าถึง 5% และหากดูตามมูลค่าตลาดหรือ Market capitalization พบว่ากลุ่ม Small-cap น่าสนใจลงทุนที่สุดเพราะซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 18% ตามมาด้วยกลุ่ม Mid-cap ที่ต่ำกว่ามูลค่า 5% ขณะที่กลุ่ม Large-cap ซื้อขายสูงกว่ามูลค่าเล็กน้อย

เราจึงแนะนำให้ Overweight ในหุ้นกลุ่ม Value และ Small-cap ,  Slight overweighting กลุ่ม Mid-cap , Underweight ในกลุ่ม Core และ Large-cap ส่วนหุ้นกลุ่ม Growth ให้น้ำหนักเท่าตลาดไปก่อน

1

หุ้นกลุ่มที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก

Sector ที่ราคาปรับขึ้นได้ดีที่สุดในเดือนที่ผ่านมา ได้แก่ Utilities +8.64%, Technology +8.47% และ Communications +6.28%

ทั้งนี้หุ้นในธีม AI ราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ภาวะ Overvalue หรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ทำให้นักลงทุนเริ่มหาทางเลือกการลงทุนอื่นที่สะท้อนภาพการโตของอุตสาหกรรม AI ได้เช่นกัน เช่น กลุ่ม Utilities เนื่องจากเชื่อว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นจากการประมวลผลข้อมูลของ AI หรือการพัฒนาของ Data centers อย่างไรก็ดีหากจะลงทุนในหุ้นกลุ่ม Utilities ตอนนี้ก็อาจช้าไป เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว ซึ่งตอนนี้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ซื้อขายสูงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นถึง 4% ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ลงทุนด้วยน้ำหนักเท่าตลาดหรือ Market-weight เท่านั้น

สำหรับหุ้นกลุ่ม Technology เราแนะนำให้ลงทุนด้วยน้ำหนักเท่าตลาดหรือ Market-weight  โดยหุ้นในกลุ่มนี้ที่ทุกคนให้ความสนใจได้แก่ Nvidia ซึ่งเราเชื่อว่ารายได้ในส่วน Data center จะยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งไปในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า โดยจะมีความต้องการสิ้นค้าในกลุ่ม GPUs สำหรับการพัฒนา AI ที่ยังสูง แต่อย่างไรก็ดีเป็นไปได้ว่าอัตราการเติบโตของ Nvidia อาจเริ่มเข้าสู่จุดสูงสุดของธุรกิจแล้วก็ได้หากลูกค้าในกลุ่ม Cloud เริ่มลดการลงทุนในส่วนนี้ลง นอกจากนี้หุ้นอย่าง Meta Platforms ปัจจุบันซื้อขายในระดับที่สูงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น 17% และ Alphabet ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ความน่าสนใจในบริษัทอื่นอย่าง AT&T หรือ Verizon มีความน่าสนใจมากกว่าเนื่องจากราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและให้เงินปันผลสูงถึง 6%

หุ้นกลุ่ม Energy, Consumer cyclicals, Industrials

Sector ที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในเดือนที่แล้วได้แก่ Energy, Consumer cyclicals, Industrials โดย Morningstar US Energy Index +0.03% ขณะที่ราคาน้ำมันปรับลงเล็กน้อยเช่นกัน ซึ่งการลงทุนในกลุ่มพลังงานยังมีความน่าสนใจในแง่ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ รวมถึงเหมาะสำหรับลงทุนในสภาวะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงยาวนาน

Consumer cyclical sector บวกเล็กน้อย 1.14% ในเดือนที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มนี้เช่น Starbucks และ McDonald’s ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อผู้บริโภคชนชั้นกลางที่เริ่มถูกผลกระทบของเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องยาวนาน เงินออมที่ลดลง ทำให้ประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น

Industrial sector บวกเล็กน้อย 2.16% เรายังแนะนำให้ Underweight ในกลุ่มนี้จากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้ว เช่น Southwest Airlines, United Airlines, XPO Logistics, XPO Logistics และ Saia

มุมมองในอุตสาหกรรมอื่นๆ

หุ้นกลุ่ม Real estate ยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าถึง 12% และราคาหุ้นก็ยังปรับลดลงจากต้นปี โดยกลุ่มที่เห็นว่ายังมีความเสี่ยงได้แก่ออฟฟิศให้เช่า ส่วนที่ยังน่าลงทุนได้แก่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเพื่อสุขภาพ เช่น Ventas และ HealthPeak

กลุ่ม Healthcare โดยรวมยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เช่น Johnson & Johnson ขณะที่ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยาลดน้ำหนักได้ปรับขึ้นจนเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว เช่น Eli Lilly สำหรับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนเช่น Zimmer Biomet, Medtronic นอกจากจะยังซื้อขายในระดับต่ำ ยังมีความสามารถในแข่งขันระยะยาวและยังโตไปกับแนวโน้มประชากรสูงวัยด้วย

1

นโยบายการเงินและตลาดตราสารหนี้

ทีมเศรษฐกิจของMorningstar ในสหรัฐยังคงมุมว่าภาพเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ขยายตัวช้าๆจะยังทำให้ Fed ตัดสินใจลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ และ Federal-funds rate สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 4.75%-5.00% ส่วนปีหน้าก็ยังคงอยู่ในทิศทางของการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องทั้งปี ส่วนแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะยาวจะปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และปีหน้า ซึ่งคาดว่า 10-year US Treasury yield เฉลี่ยอยู่ที่ 4.25% ในปีนี้ (จากปัจจุบันแถว 4.40%) และเฉลี่ย 3.50% ในปี 2025

ด้านการลงทุนจึงแนะนำให้ลงทุนในตราสารที่ Duration ยาวขึ้น เพื่อ Lock อัตราดอกเบี้ยระดับสูงตอนนี้ไว้ก่อน และเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือ US Treasury มากกว่าตราสารหนี้เอกชนเนื่องจากผลตอบแทนที่ได้เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลแล้วไม่คุ้มพอชดเชยความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้และการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือได้

1

คำแนะนำการลงทุน

สำหรับพอร์ตลงทุนระยะยาวด้วยภาพตลาดหุ้นสหรัฐที่โดยรวมซื้อขายอยู่ในระดับมูลค่าพื้นฐานแล้วเราจึงแนะนำให้น้ำหนักในหุ้นที่  Market weight ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 2-3 ไตรมาสต่อจากนี้ยังคงเติบโตอย่างช้าๆทำให้ตลาดหุ้นอาจมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งหากตลาดหุ้นปรับตัวลงมากๆก็เป็นโอกาสดีที่เราจะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นอีกครั้ง โดยกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่  Value และ Small-cap

สำหรับตราสารหนี้เราเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงทั้งตราสารระยะสั้นและระยะยาว จึงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงนี้ที่ยังให้อัตราผลตอบแทนที่สูงไว้ก่อน และเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือ US Treasury มากกว่าตราสารหนี้เอกชนเนื่องจากผลตอบแทนที่ได้ยังไม่สูงมากพอชดเชยความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้และการถูกปรับลดอันดับเครดิตได้

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar