นักวิเคราะห์มอร์นิ่งสตาร์เชื่อว่าการโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธของอิหร่านต่ออิสราเอลในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อตลาดน้ํามัน อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าการเตือนล่วงหน้าจากอิหร่านท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค หมายความว่าการโจมตีดังกล่าวนั้นสะท้อนอยู่แล้วในราคาน้ำมันผ่านความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยอธิบายได้ว่าเกือบทั้งหมดของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน (ประมาณ 91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจากประมาณกลาง 70 ดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์) เป็นผลมาจากความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าความเสี่ยงด้านอุปทาน ด้านซาอุดีอาระเบียและโอเปกพลัสมีปริมาณการผลิตน้ํามันสํารองอยู่ประมาณ 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน (หรือมากกว่า) ที่สามารถส่งกลับสู่ตลาดได้หากราคาพุ่งสูงเกินไปและพุ่งขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เราคาดว่าขณะนี้มีความเสี่ยงด้านลบมากกว่าด้านบวก และเห็นความเป็นไปได้สูงกว่าที่ราคาจะตกมาที่ 75 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2024 มากกว่าเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นักวิเคราะห์มอร์นิ่งสตาร์ได้เคยกล่าวเรื่องนี้เอาไว้ช่วงต้นตุลาคมปีที่แล้วว่า ความเสี่ยงหลักสําหรับตลาดน้ำมันคือ การปะทะกันโดยตรงระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ซึ่งสถานการณ์นี้ยังไม่ใช่สถานการณ์ดังกล่าว เราเห็นว่าเป็นการโต้ตอบที่จํากัดมากกว่าสําหรับการโจมตีของอิสราเอลต่อเรื่องสถานทูตอิหร่านในซีเรียก่อนหน้านี้ โดยอิหร่านได้ระบุว่าด้วยการโจมตีครั้งนี้ พวกเขาถือว่าเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว แม้ว่าเราจะคิดว่าความตึงเครียดในภูมิภาคอาจเกิดความรุนแรงได้อีก แต่ซาอุดีอาระเบียและอิหร่านเพิ่งกลับมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้ง ซึ่งบ่งชี้ว่ายังน่าจะอยู่ห่างไกลจากสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่นําไปสู่การโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของซาอุดีอาระเบียในปี 2562 ซึ่งทําให้การผลิตน้ำมันของประเทศหยุดชะงักลงชั่วคราวมากกว่าครึ่ง สหรัฐอเมริกาและประเทศกลุ่ม 7 ประเทศอื่นๆ กําลังกระตุ้นให้อิสราเอลคิดว่า การป้องกันตัวเองจากการโจมตีครั้งนี้ว่าเป็นความสําเร็จ และไม่ควรโต้ตอบโจมตีกลับ
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงต่อตลาดน้ำมันยังคงมีนัยสําคัญหากสถานการณ์ยังทวีความรุนแรงมากขึ้น การผลิตน้ำมันของอิหร่านอยู่ที่ประมาณ 3.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นต่อประเทศนี้ อาจลดปริมาณการผลิตลงได้ 500,000 บาร์เรลต่อวัน สถานการณ์ที่อันตรายมากขึ้นคือความพยายามของอิหร่านที่จะปิดช่องแคบฮอร์มูซ ซึ่งรองรับน้ำมันดิบของโลกประมาณ 30% ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังเอเชีย
เรายังคิดว่าการเพิ่มการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ จะเป็นตัวถ่วงดุลที่เพิ่มมากขึ้นต่อความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ในเดือนธันวาคม 2566 การผลิตน้ำมันของสหรัฐอยู่ที่ 13.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามข้อมูลจากสํานักข้อมูลพลังงานของสหรัฐ เปรียบเทียบกับ 8 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนธันวาคม 2556 การผลิตนี้น่าจะสร้างความมั่นคงอย่างค่อนข้างมีเสถียรภาพสําหรับตลาด อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารของไบเดนมียุทธศาสตร์ในการใช้น้ำมันสํารอง โดยปัจจุบันสต็อกอยู่ที่ 362 ล้านบาร์เรล ซึ่งยังไม่ได้กลับมาเท่าระดับในปี 2564 ที่เกิน 600 ล้านบาร์เรล