We are currently investigating intermittent issues affecting access to some articles and pages on our site. We apologize for any inconvenience and are working to resolve this as quickly as possible.

มุมมองตลาดหุ้นสหรัฐไตรมาส 2

มุมมองตลาดหุ้นสหรัฐไตรมาส 2 - โอกาสลงทุนในหุ้นที่ยังไม่เป็นที่น่าสนใจ และราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น

Morningstar 31/03/2567
Facebook Twitter LinkedIn

ตลาดหุ้นสหรัฐซื้อขายในระดับที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง

จากข้อมูลวันที่ 3 มีนาคม ตลาดหุ้นสหรัฐซื้อขายในระดับที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงถึง 3% แต่ก็ยังไม่เข้าข่ายอยู่ในเกณฑ์ Overvalued ของการชี้วัดตาม Morningstar ซึ่งหากย้อนไปตั้งแต่ปี 2010 พบว่ามีเพียง 14% เท่านั้นที่นับว่าตลาดหุ้นสหรัฐซื้อขายในระดับที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง

1

ขณะที่ในอนาคตคาดว่าผลตอบแทนของตลาดจะยังเพิ่มสูงขึ้นได้และนำโดยหุ้นกลุ่ม Value ที่ปัจจุบันยังซื้อขายในระดับต่ำ ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2022 ยังมีหุ้นในกลุ่ม Communications, Consumer cyclicals และ Technology ที่ยัง Undervalue ในขณะนั้น แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาหุ้นกลุ่ม Technology ก็ถูกซื้อขายและปรับขึ้นต่อเนื่องจนอยู่ในระดับ Overvalue ส่วน Communications, Consumer cyclicals ราคาขึ้นมาจนอยู่ในระดับเท่ามูลค่าที่เหมาะสมแล้ว นักลงทุนจึงควรเริ่มมองหาการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ยัง Undervalue และยังไม่เป็นที่สนใจจากนักลงทุนอื่น

ปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่ม Value และหุ้นขนาดเล็ก

ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปรับเพิ่มขึ้น โดย Morningstar US Market Index เพิ่มขึ้น 9.66% ซึ่งมีสาเหตุมาจากอัตรากำไรที่เติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ในหุ้นกลุ่ม AI ทำให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา เช่น Nvidia ที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 90% ทำให้มีผลต่อตลาดหุ้นโดยรวมให้ปรับขึ้นด้วย ขณะที่ยังมีกลุ่มที่น่าสนในลงทุน เช่น หุ้นกลุ่ม Value ยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 6% และกลุ่ม Small-cap ที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 18% เทียบกับกลุ่ม Mid-caps ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 3% และกลุ่ม Large caps ซื้อขายสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง 5%

เราจึงแนะนำนักลงทุนให้น้ำหนักการลงทุนที่มากกว่าตลาดหรือ Overweight ในหุ้นกลุ่ม Value , กลุ่ม Small-cap และ Slightly overweight ในหุ้น Mid-cap ขณะที่ให้น้ำหนักการลงทุนที่น้อยกว่าตลาดหรือ Underweight ในหุ้น Growth และกลุ่ม Large caps

1

ทั้งนี้ทีมเศรษฐกิจของ Morningstar คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตแบบชะลอลงอย่างช้าๆในอนาคตแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าเศรษฐกิจถดถอย ทำให้เป็นโอกาสลงทุนที่ดีในหุ้นขนาดเล็กหรือกลุ่ม Small-cap ซึ่งก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าจะถูกกระทบมากหากเศรษฐกิจเกิด Recession นอกจากนี้ยังคาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับลดลงหลังจากที่ Fed เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีอัตราปันผลที่สูงจะมีความต้องการจากผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น (หุ้นปันผลสูงจะมีน้ำหนักค่อนข้างมากในกลุ่มหุ้น Value) นอกจากนี้ดอกเบี้ยที่ปรับลดลงยังทำให้หุ้นขนาดเล็กได้ประโยชน์จากการที่มีต้นทุนทางการงินลดลง และลดความกังวลต่อรายได้ในอนาคต

แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ราคายังไม่ปรับเพิ่มขึ้น และยังไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนในตลาด

หุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในอดีตอาจไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีต่อในอนาคต ในปีที่แล้วหุ้นกลุ่ม Communications, Consumer cyclicals, Technology ยังมีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ขณะที่ในปีนี้หุ้นกลุ่ม Technology ราคาซื้อขายสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ส่วนกลุ่ม Communications, Consumer cyclicals ราคาปรับขึ้นมาเข้าใกล้มูลค่าที่แท้จริง

ทั้งนี้หากดูองค์ประกอบของ Morningstar US Market Index ณ วันที่ 22 มีนาคม  พบว่าหุ้น 10 ตัวแรกมีสัดสวนมากถึง 62% ของผลตอบแทนทั้งตลาดโดยรวมจึงทำให้มีผลต่อทั้งดัชนีให้ปรับขึ้นได้ ซึ่งเกิดคำถามว่าในปีนี้จะยังสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ตลาดโดยรวมได้อีกหรือไม่

1

ดังนั้นจึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ราคายังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง และยังไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วไป ซึ่งพบว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Real estate, Utilities, Energy

ทำกำไรในหุ้นที่ราคาขึ้นมาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน

หุ้นกลุ่ม Industrials เป็นกลุ่มที่ราคาปรับขึ้นมาค่อนข้างมากแล้วเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง รวมไปถึงกลุ่ม Transportation, Airlines, Consumer defensive, Financial services และ Technology

1

การลงทุนในตราสารหนี้เอกชนมีความน่าสนใจลดลง

ณ วันที่ 22 มีนาคม Morningstar US Core Bond Index ปรับลดลง 0.90% หลังจาก Bond yield ระยะยาวปรับเพิ่มขึ้น โดย10-year US Treasuries ปรับเพิ่มขึ้น 34 basis points เป็น 4.22%

ทั้งนี้ทีมเศรษฐกิจของ Morningstar คาดว่า Fed จะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในเดือนมิถุนายนผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 basis points จากนั้นจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในการประชุมนโยบายการเงินในช่วงที่เหลือของปีจากนี้ไป ทำให้คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลงไปอยู่ที่ 4%-4.25% ในช่วงสิ้นปีนี้ และเหลือ 2.50%-2.75% ตอนสิ้นปี 2025 และคาดว่าอัตราผลตอบแทนของ 10-year US Treasuries จะเหลือเฉลี่ย 4.00% ในปี 2024 และเหลือ 3.00% ในปี 2025 เนื่องจากคาดว่านักลงทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้นเพื่อ Lock อัตราผลตอบแทนที่สูงในตอนนี้เอาไว้ล่วงหน้า ปัจจุบันเราจึงแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนที่น้อยกว่าตลาดหรือ Underweight ในตราสารหนี้เอกชน เนื่องจากมีส่วนต่างของผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลที่ต่ำจนเกินไป ภายใต้เศรษฐกิจที่เติบโตแบบ Soft-landing

1

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar