ตลาดหุ้นในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นนำโดยหุ้นขนาดใหญ่ (คิดตามมูลค่าตลาด) อย่างเช่น Apple, Microsoft และ Alphabet ซึ่งหลังจากเกิดความกังวลเรื่องธนาคารและเศรษฐกิจที่ถดถอยทำให้นักลงทุนเริ่มมองหาการลงทุนที่ปลอดภัยในหุ้นขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักกันดีมากขึ้น
หุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงและอ่อนไหวไปกับภาวะดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง ทำให้นักลงทุนคาดหวังต่อการปรับขึ้นของราคาหุ้นเมื่อ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งสวนทางกับราคาหุ้นเมื่อปีที่แล้วที่ปรับลดลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของ Fed อย่างไรก็ดีแนวโน้มของราคาจากนี้เริ่มมีความไม่แน่นอนมากขึ้นหลังจากที่ราคาหุ้นปรับขึ้นมามากจนความน่าสนใจนั้นลดลง
ทั้งนี้ Morningstar US Large Cap Index (ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ) ปรับเพิ่มขึ้น 9.8% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ตลาดหุ้นโดยรวมซึ่งวัดจาก Morningstar US Market Index ปรับเพิ่มขึ้น 9.2% และหุ้นกลุ่มขนาดเล็กหรือกลุ่ม Morningstar US Small Cap Index ปรับขึ้นเพียง 4.5%
กลุ่มหุ้นที่ปรับขึ้นส่วนใหญ่นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีและสื่อสาร (เกือบ 30% ของหุ้นใน Morningstar US Large Cap Index นั้นเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี) โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นถึง 20.9% ในปีนี้ ส่วนกลุ่มสื่อสารอย่างเช่น Alphabet และ Facebook ซึ่งวัดโดย Morningstar Communication Services Index ก็ปรับเพิ่มขึ้น 23.1% ในปีนี้
ทั้งนี้การปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเกิดจากความคาดหวังว่า Fed จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งราคาหุ้นได้วิ่งสวนทางจากปีที่แล้วที่ลดลงอย่างหนักหลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดย Morningstar US Large Growth Index ปีที่แล้วปรับลงถึง 40.4%
ในแง่กลุ่มธุรกิจของหุ้นใน Morningstar US Large Cap Index ประกอบไปด้วยกลุ่ม Electronics, Software infrastructure, Semiconductors และ Media ซึ่งกลุ่ม Semiconductors ปรับตัวขึ้นมากที่สุดถึง 35.9% ในช่วงที่ผ่านมา รองลงมาเป็นกลุ่ม Media อย่างเช่น Social media, Search engines, Network platforms ปรับเพิ่มขึ้น 34.9% ในแง่หุ้นรายตัวขนาดใหญ่พบว่าหุ้น Apple เพิ่มขึ้นถึง 27.6%, Microsoft เพิ่มขึ้น 21.1% และ Nvidia NVDA เพิ่มขึ้น 81.1%.
อย่างไรก็ดีราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาส่วนใหญ่ถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ใกล้มูลค่าพื้นฐานแล้ว อย่างเช่นหุ้นในกลุ่ม Morningstar US Large Cap Index ที่ระดับราคาปรับขึ้นมาจนต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเพียงแค่ 2% โดยมีเพียงหุ้นในกลุ่มสื่อสารเท่านั้นที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ 30% ขณะที่หุ้นขนาดเล็กใน Morningstar US Small Cap Index ระดับราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงสิ้นปีที่แล้วมากนักซึ่งต่ำกว่ามูลค่าที่เท้จริงอยู่ประมาณ 15%
ทั้งนี้นักลงทุนควรจะระมัดระวังในการลงทุนจากนี้ไปโดยคำนึงถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต ทำให้อาจเป็นไปได้ยากที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในรอบนี้ ทำให้นักลงทุนควรให้น้ำหนักการลงทุนไปที่บริษัทที่ยังมีราคาไม่สูงมากจนเกินไปและมีศักยภาพการเติบโตที่สูง