ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมามีแรงกดดันจากกลุ่มธนาคารในสหรัฐ ซึ่งทำให้ตลาดผันผวนค่อนข้างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ ของไตรมาสแรก คำถามที่อาจตามมาคือ แล้วเราควรจะลงทุนหุ้นใด
หากไปดูที่ผลกระทบจากกลุ่มธนาคาร regional bank นั้นจะพบว่าส่งผลกระทบไปทั้งกลุ่มการเงิน ซึ่งรวมไปถึงกลุ่ม nonbank ด้วย โดยทำให้หุ้นของบางบริษัทนั้นราคาร่วงลงไปจุดที่น่าสนใจ อันดับถัดมาเมื่อไปดูที่สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมทำให้มอร์นิ่งสตาร์มองว่าพฤติกรรมการบริโภคนั้นเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากโรคระบาดค่อย ๆ หายไป ปัจจัยถัดมาคือรอบการเติบโตของบางอุตสาหกรรมที่จะล้อไปกับวัฏจักรเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า และสุดท้ายนั้นคือการย่อตัวลงของตลาดหุ้นในรอบนี้ทำให้หุ้นกลุ่ม defensive บางตัวกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้ง
หุ้นของบริษัทที่มีความน่าสนใจนั้นมีดังนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มีนาคม 2023)
Discover Financial Services (DFS)
หุ้น 4 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ในกลุ่มการเงินที่ปัจจุบันซื้อขายที่ราคาต่ำกว่า fair value ราว 35% โดยบริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจธนาคารซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ direct banking และ payment service เช่น กลุ่มบัตรเครดิต เดบิต เงินฝาก สินเชื่อกู้ยืมเพื่อการศึกษา และสินเชื่อบุคคลประเภทอื่น ๆ โดย Discover เป็นเครือข่ายบริการ payment ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ในสหรัฐ แม้ว่ามอร์นิ่งสตาร์มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอลงได้ในปีนี้ แต่เราได้ปรับประมาณการสำหรับหนี้สูญให้เพิ่มขึ้นแล้ว และมองว่าบริษัทยังมีฐานะการเงินและเงินสำรองที่ยังแข็งแกร่ง
Uber (UBER)
จากสถานการณ์หลังช่วงโรคระบาดกลับมาเป็นปกติมากขึ้นแล้วเรามองว่า Uber เป็นหนึ่งในบริษัทที่จะได้ประโยชน์ โดยเป็นหุ้น 5 ดาวที่ซื้อขายที่ราคาเพียงครึ่งหนึ่งของ fair value จากการที่มอร์นิ่งสตาร์มองว่าผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ไปร้านอาหาร คอนเสิร์ต หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น รวมทั้งการเดินทางแบบ business travel จะเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ต่อเนื่องไปในปีหน้าซึ่งจะนำไปสู่การจำนวนการใช้งานที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดและต่อ user
Albemarle (ALB)
หนึ่งในอุตสาหกรรมที่มอร์นิ่งสตาร์มองว่าจะมีการเติบโตช่วงทศวรรษหน้าคือรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจากข้อมูลการวิจัยโดยมอร์นิ่งสตาร์นั้นคาดว่า 2 ใน 3 ของรถยนต์ที่ผลิตภายในปี 2030 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ความต้องการลิเทียมนั้นมีมากขึ้น อย่างไรก็ดีเรามองว่าอุปทานลิเทียมนั้นจะไม่เพียงพอต่อความต้องการที่สูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่ราคาลิเทียมที่สูงขึ้นด้วย โดยบริษัท Albemarle (ALB) จะเป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเป็นผู้ผลิตลิเทียมรายใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันหุ้น ALB เป็นหุ้น 4 ดาวซื้อขายที่ราคาต่ำกว่า fair value ราว 36% และเรายังมองว่าการขาดแคลนลิเทียมจะทำให้ราคาของลิเทียมยังคงสูงกว่าต้นทุนการผลิตในช่วง 10 ปีข้างหน้า
Kellogg (K)
Kellogg อาจเป็นแบรนด์ที่คนไทยหลายคนรู้จักกันมานาน ซึ่งนอกจากเป็นผู้ผลิตซีเรียลแล้วยังมีผลิตภัณฑ์ประเภทขนม คุกกี้ แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ โดยเป็นผู้ผลิตขนม Pringles ที่คนไทยหลายคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี หุ้น Kellogg เป็นหุ้นกลุ่ม defensive ระดับ 4 ดาว ที่ซื้อขายที่ราคาต่ำกว่า fair value ราว 21% ด้วยอัตราปันผลที่ 3.6% โดยในช่วงที่ผ่านมามีแรงกดดันราคาหุ้นจากข่าวการแยกธุรกิจออกเป็น 3 บริษัทคือ ธุรกิจที่อยู่นอกสหรัฐ ธุรกิจในอเมริกาเหนือ และธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืช อย่างไรก็ดีมอร์นิ่งสตาร์ประเมินว่า fair value ของหุ้น Kellogg จะอยู่ที่ 82 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น (ใช้วิธี sum-of-the-parts)
แม้สถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาสแรกนี้จะมีความผันผวนค่อนข้างสูง แต่จากรายชื่อหุ้นด้านบนนี้แสดงให้เห็นว่า หากเรามองหาหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน ทำความเข้าใจในตลาดและธุรกิจของบริษัท ก็จะทำให้ทราบได้ว่ายังมีบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และน่าสนใจเข้าลงทุนระยะยาวในช่วงของตลาดผันผวนนี้ได้