แม้ในช่วงก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่ม Growth stocks จะมี Performance ที่ดีกว่าตลาดโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Technology แต่ในปี 2022 ราคาหุ้นกลุ่มนี้ก็ปรับลดลงขณะที่หุ้นกลุ่ม Value กลับมี Performance ที่ดีกว่าในช่วงที่ตลาดเป็น Bear market โดยในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Value index ให้ผลตอบแทน -1.7% ขณะที่กลุ่ม Growth stocks -35.5% อย่างไรก็ดียังมีความไม่แน่ชัดว่าการ Outperform ของหุ้นกลุ่ม Value จะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆหรือไม่
หากเปรียบเทียบ Performance ของหุ้นกลุ่ม Value และ Growth ช่วง 3 ปีย้อนหลังนับจากวันที่ 16 December ของปีนี้ จะพบว่าหุ้นกลุ่ม Value เอาชนะกลุ่ม Growth 3.3% แต่หากเทียบ ณ สิ้นปี 2021 ย้อนหลังกลุ่ม Growth ยังเอาชนะหุ้นกลุ่ม Value 19.3%
หากใช้ข้อมูลจาก Morningstar Style Box นับจากวันที่ 16 ธันวาคม ของปีนี้ เปรียบเทียบย้อนหลัง 12 เดือนจะพบว่า Morningstar US Large Cap Value Index ให้ผลตอบแทนนำกลุ่ม Morningstar US Large Cap Growth Index 37.2% และ Small-cap value stocks ให้ผลตอบแทนนำกลุ่ม Small-cap growth stocks 25.2% และ Mid-cap value ให้ผลตอบแทนนำกลุ่ม Mid-cap growth 28.3%
ปัจจัยขับเคลื่อน Value stocks ให้ Outperform ในปีนี้
จากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ จึงส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของหุ้นกลุ่ม Growth เนื่องจากมูลค่ากระแสเงินสดในอนาคตปรับลดลงหลังจากถูกคิดลดเป็นมูลค่าปัจจุบันด้วยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่ม Value ซึ่งมักเป็นหุ้นที่จะเติบโตได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตเร็ว แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในปัจจุบันทั้งอัตราการว่างงานที่ต่ำ เงินเฟ้อที่สูง และความเสี่ยงต่อภาวะ Recession หุ้นกลุ่ม Value อย่างเช่น สายการบิน ผู้ผลิตเหล็ก และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Commodity-based ราคาหุ้นกลับเอาชนะตลาดได้ในปีนี้ ทั้งนี้กลุ่มพลังงานอีกหนึ่ง Sector ที่ปรับขึ้นได้ดีอาจเป็นผลมาจากสงครามในยูเครน-รัสเซียที่กระทบต่อตลาดพลังงาน ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Energy ในดัชนี Morningstar US Value Index ปีนี้ให้ผลตอบแทน 53.9% รองลงมาเป็น Healthcare 9.6%
ขณะที่กลุ่ม Growth stocks อย่างเช่นกลุ่ม Technology และ Communications เป็นกลุ่มหลักที่ปรับลดลงในปีนี้ เช่น Microsoft -26.5% Amazon.com -47.3% Meta Platforms -64.5% และ Alphabet -37.7% ทำให้หุ้นหลายๆตัวที่มี Earnings growth ที่สูง มีเงินปันผลหรือกระแสเงินสดที่ดีสม่ำเสมอนั้นเป็นที่น่าสนใจลงทุนขึ้นมาในปีนี้ เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับลดลงมากนั่นเอง
แนวโน้มในอนาคตของหุ้น Value และ Growth
ปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ถ้าสามารถจัดการปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นให้ลดลงได้โดยไม่ทำร้ายการเติบโตของเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่ม Growth ก็มีโอกาสกลับมาเติบโตอีกครั้ง แต่ถ้านโยบายการเงินทำให้กระทบต่อภาพการโตของเศรษฐกิจมากๆก็จะส่งผลเสียต่อทั้งหุ้น Value และ Growth แต่กลุ่ม Growth จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากกว่า ในทางกลับกันหาก Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั้งตลาดแต่กลุ่ม Value อาจได้ผลดีมากที่สุด อย่างไรก็ดีด้วยราคาหุ้นกลุ่ม Growth ที่ปรับลงมามากก็ทำให้มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้มากเช่นกัน ขณะที่ในระยะยาวตัวขับเคลื่อนราคาหุ้นที่ดีที่สุดคือ Earnings growth และกระแสเงินสดในอนาคต