การปรับลดลงของหุ้น Big tech

แม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะปรับขึ้นค่อนข้างดีในปี 2020-2021 แต่ปี 2022 ก็ปรับลดลงอย่างมากเช่นกันจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะกลุ่ม Software companies ที่ปรับลงมากในปีนี้ ทั้งนี้ Morningstar US Technology Index ปรับลดลงถึง 28.7% ซึ่งลดลงมากกว่า Morningstar US Market Index ที่ลดลง 18.7% สำหรับหุ้นที่ปรับลดลงมากในปีนี้เช่น Meta Platforms ปรับลดลง 65.5%, บริษัท Semiconductor อย่าง Nvidia ลดลง 42.1% และ Microsoft ลดลง 26.3%

กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 6 อันดับแรกในสหรัฐซึ่งได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Nvidia, Amazon, Meta Platforms นั้นปรับลดลงอย่างมากในปีนี้ โดย Market cap ลดลงรวมกันถึง 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากปีก่อนหน้า เหลือเพียง 6.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน

ขณะที่น้ำหนักของหุ้นกลุ่ม Technology ใน Morningstar US Market Index ก็ปรับลดลงจาก 21% ตอนต้นปีเหลือเพียง 17.4% ในปัจจุบัน ทั้งนี้ Meta Platforms มีขนาด Market cap ลดลงมากที่สุดจากที่เคยใหญ่เป็นอันดับ 7 ของดัชนี ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่อันดับที่ 22

และด้วยน้ำหนักของหุ้นกลุ่ม Technology ที่มีมากในดัชนี ทำให้โดยรวมปีนี้ U.S. market index ลดลงถึง 18.7% โดยมีสัดส่วนถึง 7% ที่เป็นผลมาจากการลดลงของหุ้นกลุ่ม Technology

ทำไมหุ้นกลุ่ม Technology ถึงปรับลดลงอย่างมากในปีนี้

ในปีนี้ Apple ปรับลดลง 19.5%มากกว่าตลาดหุ้นโดยรวม แม้ว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นจะมี Performance ที่ดีกว่าก็ตาม หลังจากคาดว่ายอดขาย iPhone 14 และ Mac จะปรับลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ขณะที่ Meta Platforms มีความกังวลจากนักลงทุนต่อแผนการใช้เงินจำนวนมากเพื่อเป็นผู้นำใน metaverse รวมถึงความกังวลต่อรายได้โฆษณาที่ลดลงในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

Alphabet ถูกกระทบจากความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจที่แย่ลง ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ค่าโฆษณาที่ปรับลดลงได้หากการใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับลดลงในอนาคต ขณะเดียวกันทั้ง Amazon และ Microsoft ก็ให้ภาพแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4 ที่น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ส่วน Nvidia หลังจากที่ปีก่อนหน้าราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 125.5% แต่ปีนี้ราคาหุ้นปรับลงแล้ว 42.1% หลังจากความต้องการทำงานจากที่บ้านและการขาดแคลนในกลุ่มอุปกรณ์คอมพิวเตอร์นั้นลดลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงการที่สหรัฐเริ่มจำกัดการขายชิ้นส่วน Chips ที่สำคัญให้กับจีน จึงส่งผลให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจต่อการเติบโตของบริษัทจากนี้ไป