ในสัปดาห์นี้ประเด็นที่ตลาดให้ความสำคัญคือผลการประชุมของเฟดที่มีการคาดว่าจะขึ้นอีก 0.75% หรือปรับขึ้นในระดับเดียวกันกับรอบที่ผ่านมาซึ่งเป็นการปรับขึ้นเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 หากมีการปรับตามที่คาดจริงก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ที่ 2.25% จากที่ต้นปีอยู่ที่ 0% และอาจขึ้นไปที่ระดับ 3.25% ภายในสิ้นปีนี้
การปรับดอกเบี้ยของเฟดแสดงถึงความตั้งใจที่จะต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งเป็นไปตามถ้อยแถลงที่เฟดได้เคยกล่าวไว้ โดยเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานั้นอยู่ระดับ 9.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1981
ผลจากการปรับดอกเบี้ยเพื่อหยุดเงินเฟ้อนั้นจะลดแรงกดดันจากราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นสูง และทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลง ผลที่ตามมาอาจนำไปสู่ recession การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ ทางเฟดสาขา Atlanta คาด real GDP จะหดตัว 0.4% ในไตรมาสที่ 2 หรือทั้งปีหดตัวลง 1.6%
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นอาจไม่มีกฎตายตัวว่าจะเริ่มหรือจบเมื่อใด แต่โดยปกติแล้วหากตัวเลข real GDP มีการหดตัวลงต่อเนื่อง 2 ไตรมาสนั้นจะเป็นการแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือ recession อย่างไรก็ดีแต่เดิมนั้นสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ (National Bureau of Economic Research: NBER) จะเป็นผู้ประกาศถึงการเริ่มและจบของ recession แต่เป็นไปได้ว่าจะยังไม่มีการประกาศภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงนี้
สาเหตุที่ NBER อาจยังไม่ประกาศภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นมาจากตัวเลขการจ้างงาน การบริโภคและการผลิตยังอยู่ในช่วงขาขึ้นสำหรับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาแม้ว่าตัวเลข GDP จะหดตัว ซึ่งมอร์นิ่งสตาร์มองว่าการหดตัวในช่วงไตรมาสแรกอาจยังไม่ได้สะท้อนภาพจริงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงจาก recession ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่ทางมอร์นิ่งสตาร์มองว่าภาวะ recession จะมีความชัดเจนในปีหน้าซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจจะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการดึงสภาพคล่องจากเฟด ทั้งนี้การปรับดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาเริ่มแสดงให้เห็นถึงผลกระทบในตลาดที่อยู่อาศัยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะทำให้ตลาด้านหดตัวลงได้ราว 10% ในปีหน้าซึ่งจะส่งผลชัดเจนต่อเศรษฐกิจโดยรวมในปี 2023
ในช่วงที่ผ่านมามอร์นิ่งสตาร์ได้มีการปรับคาดการณ์ GDP ลงสำหรับปี 2022-2023 ซึ่งเป็นผลจากห่วงโซ่อุปทานและความมุ่งมั่นต่อการลดเงินเฟ้อของเฟด และคาด GDP จะเริ่มฟื้นตัวในปี 2024 เมื่อทางธนาคารกลางเริ่มกลับไปใช้นโยบายผ่อนคลายมากขึ้นรวมทั้งประเด็น supply chain ที่จะคลี่คลายลงได้