ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Morningstar US Growth Index ปรับลดลง 25.3% (เป็นการปรับลดลงมากที่สุดรองลงมาจากช่วง Global financial crisis ปี 2008 ที่ปรับลดลงถึง 28.4%) โดยราคาหุ้น Amazon และ Tesla ลดลง 34.8% และ 37.5% ตามลำดับ ขณะที่ Morningstar Large Growth Index ก็ลดลง 29.8% ในไตรมาสที่ผ่านมาเช่นกัน ส่วน Morningstar US Value Index ให้ผลตอบแทนดีกว่ากลุ่ม Growth 15.9% ในช่วงเดียวกัน โดยกลุ่ม Large value ให้ผลตอบแทนดีกว่ากลุ่ม Large growth ถึง 21.6%
ตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวมนับว่าได้เข้าสู่ Bear market แล้ว หลังจากที่ปรับลงเกินกว่า 20% จากช่วง Peak แม้กระทั่งหุ้น Value ก็ยังให้ผลตอบแทนติดลบ โดยในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ Morningstar US Value Index ลดลง 7.3% ขณะที่ Morningstar US Growth Index ลดลงถึง 34.3%.
การปรับลดลงของหุ้นกลุ่ม Growth ในครั้งนี้อาจทำให้ภาพระยะยาวของกลุ่มนี้เปลี่ยนไป หลังจากที่ช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้น Value มาตลอด โดยในอดีต Morningstar US Growth Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.7% ต่อปีเมื่อเทียบกับหุ้น Value ที่เฉลี่ย 7.8% ต่อปี และหากย้อนไปถึง 10 ปีก่อนหน้าหุ้นกลุ่ม Growth ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 258.5% เมื่อเทียบกับกลุ่ม Value ที่เพิ่มขึ้น 174.9%
ทำไมหุ้นกลุ่ม Value ถึงให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้น Growth
ก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่ม Growth โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีมีการซื้อขายที่ค่อนข้างแพงหลังจากได้ประโยชน์อย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นหากภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป
การจัดกลุ่มว่าหุ้นบริษัทไหนจะเป็นหุ้น Growth หุ้น Value หรือ Core ของ Morningstar นั้น จะอาศัยการแบ่งจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไร ยอดขาย มูลค่าตามบัญชี กระแสเงินสด เงินปันผล รวมถึงการประเมินมูลค่าจาก Ratio ต่างๆ ได้แก่ price/projected earnings ratio, price/book, price/sales และ price/cash flow ซึ่งหุ้นที่เป็น Growth มักจะมีคะแนนอัตราเติบโตของกำไรและยอดขายสูง ขณะที่เงินปันผลต่ำ รองลงมาจะเป็นหุ้น Core และถ้าได้คะแนนต่ำสุดจะเป็นหุ้น Value ตามลำดับ
ในปีนี้หุ้นกลุ่ม Growth ถูกกระทบจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะในแง่การประเมินมูลค่าหุ้นนั้น หากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นจะส่งผลต่อมูลค่าของกระแสเงินสดหรือกำไรในอนาคตที่ลดลง รวมไปถึงความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตก็มีผลต่อความคาดหวังของกำไรของหุ้นเหล่านี้ลดลง
เช่นกัน ขณะที่เรื่องสงครามในยูเครน การหยุดชะงักของ supply chain และอัตราเงินเฟ้อ ก็มีผลทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นได้ดีในรอบนี้ และทำให้หุ้นกลุ่ม consumer defensive และ materials เป็นที่ต้องการของนักลงทุนมากขึ้นกว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากถูกมองว่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยข้างต้นน้อยกว่า
สำหรับหุ้นกลุ่ม Small-cap growth stocks อย่าง Morningstar US Small Growth Index ปรับลดลง 22.4%ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีน้ำหนักส่วนมากในหุ้นเทคโนโลยี เฮลแคร์ และกลุ่ม consumer จำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันราคาหุ้นกลุ่ม Growth ที่เคยซื้อขายกันแพงๆในอดีตได้ถูกขายลงมาจนระดับ Valuation นั้นกลับเข้ามาอยู่ในระดับที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าแนวโน้มราคาจะยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วงสั้นๆนี้ก็ตาม
ราคาหุ้นกลุ่ม Value จะยังเอาชนะตลาดต่อไปได้หรือไม่
จากการประเมินของ Morningstar ในหุ้นกลุ่ม Value ตาม Morningstar US Value Index พบว่ายังมีหุ้นอีกจำนวนมากที่ยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (undervalued) เช่น AT&T, Cigna, Gilead Sciences และแม้ว่าในช่วงที่ตลาดมีการเทขายหุ้นออกมาอย่างมาก ทำให้หุ้นหลายๆบริษัทมีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงก็ตาม แต่นักลงทุนอาจต้องเลือกและศึกษาให้ดีว่าบริษัทไหนเป็นหุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุนต่อไป