We are currently investigating intermittent issues affecting access to some articles and pages on our site. We apologize for any inconvenience and are working to resolve this as quickly as possible.

อนาคตกลุ่ม Growth stocks

ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Morningstar US Growth Index ปรับลดลง 25.3% ส่วน Morningstar US Value Index ให้ผลตอบแทนดีกว่า 15.9% ในช่วงเดียวกัน 

Morningstar 12/07/2565
Facebook Twitter LinkedIn

ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Morningstar US Growth Index ปรับลดลง 25.3% (เป็นการปรับลดลงมากที่สุดรองลงมาจากช่วง Global financial crisis ปี 2008 ที่ปรับลดลงถึง 28.4%) โดยราคาหุ้น  Amazon และ Tesla ลดลง 34.8% และ 37.5% ตามลำดับ ขณะที่ Morningstar Large Growth Index ก็ลดลง 29.8% ในไตรมาสที่ผ่านมาเช่นกัน ส่วน Morningstar US Value Index ให้ผลตอบแทนดีกว่ากลุ่ม Growth 15.9% ในช่วงเดียวกัน โดยกลุ่ม Large value ให้ผลตอบแทนดีกว่ากลุ่ม Large growth ถึง 21.6% 

ตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวมนับว่าได้เข้าสู่ Bear market แล้ว หลังจากที่ปรับลงเกินกว่า 20% จากช่วง Peak แม้กระทั่งหุ้น Value ก็ยังให้ผลตอบแทนติดลบ โดยในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้  Morningstar US Value Index ลดลง 7.3% ขณะที่ Morningstar US Growth Index ลดลงถึง 34.3%.

1

การปรับลดลงของหุ้นกลุ่ม Growth ในครั้งนี้อาจทำให้ภาพระยะยาวของกลุ่มนี้เปลี่ยนไป หลังจากที่ช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้น Value มาตลอด โดยในอดีต Morningstar US Growth Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.7% ต่อปีเมื่อเทียบกับหุ้น Value ที่เฉลี่ย 7.8% ต่อปี และหากย้อนไปถึง 10 ปีก่อนหน้าหุ้นกลุ่ม Growth ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 258.5% เมื่อเทียบกับกลุ่ม Value ที่เพิ่มขึ้น 174.9%

2

ทำไมหุ้นกลุ่ม Value ถึงให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้น Growth

ก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่ม Growth โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีมีการซื้อขายที่ค่อนข้างแพงหลังจากได้ประโยชน์อย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นหากภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป

3

การจัดกลุ่มว่าหุ้นบริษัทไหนจะเป็นหุ้น Growth หุ้น Value หรือ Core ของ Morningstar นั้น จะอาศัยการแบ่งจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไร ยอดขาย มูลค่าตามบัญชี กระแสเงินสด เงินปันผล รวมถึงการประเมินมูลค่าจาก Ratio ต่างๆ ได้แก่ price/projected earnings ratio, price/book, price/sales และ price/cash flow ซึ่งหุ้นที่เป็น Growth มักจะมีคะแนนอัตราเติบโตของกำไรและยอดขายสูง ขณะที่เงินปันผลต่ำ รองลงมาจะเป็นหุ้น Core และถ้าได้คะแนนต่ำสุดจะเป็นหุ้น Value ตามลำดับ

ในปีนี้หุ้นกลุ่ม Growth ถูกกระทบจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะในแง่การประเมินมูลค่าหุ้นนั้น หากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นจะส่งผลต่อมูลค่าของกระแสเงินสดหรือกำไรในอนาคตที่ลดลง รวมไปถึงความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตก็มีผลต่อความคาดหวังของกำไรของหุ้นเหล่านี้ลดลง

เช่นกัน ขณะที่เรื่องสงครามในยูเครน การหยุดชะงักของ supply chain และอัตราเงินเฟ้อ ก็มีผลทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นได้ดีในรอบนี้  และทำให้หุ้นกลุ่ม consumer defensive และ materials เป็นที่ต้องการของนักลงทุนมากขึ้นกว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากถูกมองว่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยข้างต้นน้อยกว่า

4

สำหรับหุ้นกลุ่ม Small-cap growth stocks อย่าง Morningstar US Small Growth Index ปรับลดลง 22.4%ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีน้ำหนักส่วนมากในหุ้นเทคโนโลยี เฮลแคร์ และกลุ่ม consumer จำนวนมาก

5

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันราคาหุ้นกลุ่ม Growth ที่เคยซื้อขายกันแพงๆในอดีตได้ถูกขายลงมาจนระดับ Valuation นั้นกลับเข้ามาอยู่ในระดับที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าแนวโน้มราคาจะยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วงสั้นๆนี้ก็ตาม

ราคาหุ้นกลุ่ม Value จะยังเอาชนะตลาดต่อไปได้หรือไม่

จากการประเมินของ Morningstar ในหุ้นกลุ่ม Value ตาม Morningstar US Value Index พบว่ายังมีหุ้นอีกจำนวนมากที่ยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (undervalued) เช่น AT&T, Cigna, Gilead Sciences  และแม้ว่าในช่วงที่ตลาดมีการเทขายหุ้นออกมาอย่างมาก ทำให้หุ้นหลายๆบริษัทมีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงก็ตาม แต่นักลงทุนอาจต้องเลือกและศึกษาให้ดีว่าบริษัทไหนเป็นหุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุนต่อไป

6

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar