จากการประเมินโดย Morningstar พบว่าปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐยังคงซื้อขายในระดับราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือคิดเป็นอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าที่ควรจะเป็นเท่ากับ 0.87 เท่า ซึ่งหากย้อนดูตั้งแต่ปี 2011 จะพบว่ามีเพียงไม่กี่ครั้งที่ตลาดหุ้นสหรัฐซื้อขายในระดับต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆอย่างเช่นรอบนี้ที่เกิดจากการระบาดของโควิด ขณะที่ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นซื้อขายแบบ Discount ในช่วงปี 2011 ที่เกิด Greek debt crisis, European sovereign debt crisis รวมถึงปี 2015-2016 ที่มีความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมากในช่วงดังกล่าว ก็ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐซื้อขายแบบ Discount เช่นกัน
หุ้นกลุ่มไหนบ้างที่ Undervalued
ตั้งแต่ช่วงต้นปีหุ้นกลุ่ม Value ยังคงเป็นที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับ Growth stock ในช่วงที่ตลาดปรับลดลงมากๆหุ้นกลุ่ม Value ยังคงปรับตัวขึ้นได้ดี โดยตั้งแต่ต้นปี Morningstar US Value Index ยังคงเพิ่มขึ้น 0.97% ขณะที่ Morningstar US Growth Index ลดลงถึง 28.39% และ Morningstar US Core Index ลดลง 12.85% ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Growth กลายเป็นกลุ่มที่ Undervalued ที่สุดโดยซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงถึง 19% รองลงมาเป็นกลุ่ม Value ที่ซื้อขายแบบ Discount 8% และหากดูตามขนาดของหุ้นจะพบว่ากลุ่มที่ซื้อขายแบบ Undervalued มากที่สุดได้แก่ หุ้นกลุ่ม Small-cap รองลงมาเป็นกลุ่ม Large-cap และ Mid-cap ซึ่งราคาหุ้นซื้อขายแบบ Discount 19%, 13% และ 11% ตามลำดับ
ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อจากนี้
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือ Undervalued ก็ตาม แต่ในช่วงสั้นๆตลาดยังคงมีความผันผวนต่อไปอีกสักระยะ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยที่ยังต้องระวังต่อไปนี้
- อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทั้งนี้ทาง Morningstar ได้ปรับลดคาดการณ์เติบโตเศรษฐกิจปี 2022 ลงจาก 3.5% เหลือ 3.3% และปี 2023 จาก 3% เหลือ 2.2% และแม้ว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจอาจชะลอลงแต่ก็คาดว่าไม่ถึงกับเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- การดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของสหรัฐ (Tightening monetary policy) แม้ว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นหลังผลการประชุมของ FED ล่าสุดที่ออกมามีท่าที Hawkish ลดลงและทำให้คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอีก 2 ครั้งถัดไปจะไม่เกิน 0.5% แต่อย่างไรก็ตาม FED ยังคงต้องประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องก็อาจทำให้ FED ต้องยังคงอัตราการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อไป
- อัตราเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องส่งผลต่อคาดการณ์เศรษฐกิจที่โตชะลอลง สำหรับอัตราเงินเฟ้อปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 5.2% และน่าจะชะลอตัวลงในครึ่งปีหลังหากปัญหา Supply chain ฟื้นตัวดีขึ้น และลดลงต่ำกว่า 2% ในปีหน้า
- อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ต้นปีอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐนั้นได้ปรับเพิ่มขึ้น 1.42% เป็น 2.93% ในช่วงสิ้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนี้คาดว่าอัตราผลตอบแทนในตลาดจะยังคงปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการที่ FED เริ่มลดอัตราการถือครองพันธบัตรลงและทำให้มีปริมาณพันธบัตรเพิ่มมากขึ้นในตลาด
หุ้นคุณภาพดีที่ราคา Undervalued
ในช่วงที่ตลาดปรับลงนั้นหุ้นที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีก็ถูกขายลงมาด้วยเช่นกัน หุ้นเหล่านี้มักเป็นหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงและสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่ลงแต่ก็ยังมีอำนาจในการต่อรองด้านราคาเสมอ โดยจากการจัดอันดับของ Morningstar พบว่ามีบริษัทดังต่อไปนี้ที่ได้อันดับคะแนนค่อนข้างดี ดังตาราง
ภาวะตลาดตอนนี้ควรทำอย่างไรดี
นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนระยะยาวให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละคน โดยให้มีความยืดหยุ่นในการปรับน้ำหนักการลงทุนในตราสารทุนตามความเหมาะสมกับสภาพตลาด เช่น สามารถลงทุนเพิ่มได้ในช่วงที่ตลาดปรับลงมามากๆอย่างเช่นในภาวะปัจจุบันที่เรามองว่าตลาดหุ้นสหรัฐค่อนข้าง Undervalued นั่นเอง ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐที่มีคุณภาพที่ดีได้