ผู้ถือหุ้นของ Tesla เตรียมผลักดันให้บริษัทจัดการกับประเด็นการฟ้องร้องของศาลแคลิฟอร์เนียที่ฟ้องผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในข้อหาเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและการคุกคาม หลังจากที่มีเสียงเรียกร้องจากแรงงานจำนวนมากของ Tesla ในแคลิฟอร์เนียว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติรวมถึงโดนเหยียดเชื้อชาติจากเพื่อนร่วมงาน และตั้งแต่มีข่าวการฟ้องร้องในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ราคาหุ้นของ Tesla ปรับขึ้นเล็กน้อย 0.05% หลังจากช่วงต้นปีที่ราคาปรับลดลง 12.7% จากความกังวลของนักลงทุนต่อประเด็นการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและปัญหาเรื่อง Supply chain (ราคาปัจจุบันซื้อขายอยู่ในช่วง $923.39 สูงกว่า fair value ที่ Morningstar ให้ไว้ $700)
แม้ประเด็นฟ้องร้องดังกล่าวดูเหมือนไม่มีผลกระทบต่อบริษัทโดยตรง แต่เนื่องจากเป็นช่วงที่จะมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัททำให้เหล่าคณะกรรมการให้ความสำคัญต่อประเด็นปัญหาต่างๆที่อาจถูกเพ่งเล็งจากผู้ถือหุ้นได้ต่อความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้หากปัญหาเรื่องแรงงานยังคงมีต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้นอาจทำให้แรงงานลาออกไปจำนวนมากและสร้างปัญหาให้กับกิจการได้ในภายหลัง
ที่ผ่านมา Tesla ได้ถูกร้องเรียนหลายครั้งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทํางานที่ไม่เอื้อต่อคนผิวสีและผู้หญิงโดยเฉพาะโรงงานในฟรีมอนต์แคลิฟอร์เนีย และมีเหตุให้อดีตพนักงานที่ฟ้องร้องเรื่องดังกล่าวได้รับค่าชดเชยถึง 137 ล้านดอลลาร์ไปเมื่อปีที่แล้วหลังจากคณะลูกขุนของรัฐบาลกลางพบว่า Tesla ได้ทําให้คนงานต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมการทํางานที่ไม่เป็นมิตรทางเชื้อชาติจริง และแม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องต่อการตัดสินและการสืบสวนคดีต่างๆในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาว่าอาจไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมแต่ Tesla ก็ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ
คดีความที่แคลิฟอร์เนียได้รับความสนใจจากผู้ถือหุ้นอย่างมากเพราะถือว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรง โดยมีความพยายามจากผู้ถือหุ้นจาก Calvert Research and Management ในการผลักดันให้เกิดการแก้ไขเรื่องดังกล่าวด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมการทํางานที่ปลอดภัยและเหมาะสมสําหรับทุกคน เพื่อสร้างขีดความสามารถของพนักงานซึ่งจะมีผลต่อการปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในอนาคต นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนของ Green Alpha Advisors ซึ่งมีการลงทุนใน Tesla เห็นว่าผลการตัดสินคดีความในประเด็นฟ้องร้องของ Tesla ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นของบริษัทเช่นกัน และก็ไม่ต้องการให้บริษัทที่ลงทุนอยู่มีเรื่องดังกล่าว ดังนั้นในฐานะการเป็นผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของกิจการย่อมต้องการคนที่มองการณ์ไกลและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นให้หมดไปได้ก่อนที่ปัญหาดังกล่าวจะทำให้บริษัทหมดความน่าเชื่อถือจากผู้บริโภคไป
แม้ว่าความเสียหายจากคดีเหล่านี้อาจไม่สูงพอที่จะส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่นักลงทุนก็คาดหวังว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงต่อนโยบายการจัดการและการบริหารเพื่อให้แน่ใจว่าการฟ้องร้องประเภทการเลือกปฏิบัติเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก