ยูเครน-รัสเซีย และทิศทางราคาพลังงาน

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครน อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นได้ภายใต้สถานการณ์ที่ Demand และ Supply ของน้ำมันยังจำกัดอยู่ในขณะนี้ 

Morningstar 14/02/2565
Facebook Twitter LinkedIn

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครน อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นได้ภายใต้สถานการณ์ที่ Demand และ Supply ของน้ำมันยังจำกัดอยู่ในขณะนี้ และทำให้ผู้ผลิตน้ำมันได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอีกด้วยเนื่องจากผู้ผลิต อย่างเช่น Exxon, Shell, BP เหล่านี้มีทรัพย์สินอยู่ในรัสเซียเพียงส่วนน้อยเท่านั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบหากจะมีการคว่ำบาตรประเทศรัสเซีย

สถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบันทำให้แนวโน้มการคว่ำบาตรไม่สำเร็จ

ปัจจุบันประเทศรัสเซียทำการส่งออกน้ำมันประมาณ 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากมีการคว่ำบาตรรัสเซียก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันได้ แต่เชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น เพราะแม้ว่าการส่งออกน้ำมันจะคิดเป็นมูลค่า 60% ของการส่งออกของรัสเซียและคิดเป็นมูลค่า 30% ของ GDP ประเทศ ทำให้การคว่ำบาตรรัสเซียนั้นจะมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศมากๆ แต่ปัญหาคือทั้งราคาน้ำมันและราคาก๊าซในสหรัฐและยุโรปอยู่ในระดับสูงอยู่แล้วจนทำให้ในช่วงที่ผ่านมาประธานาธิบดีสหรัฐ Joe Biden ต้องออกมาเรียกร้องให้กลุ่มโอเปคเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อลดผลกระทบของราคาดังกล่าว ดังนั้นการคว่ำบาตรรัสเซียย่อมส่งผลต่อปริมาณน้ำมันที่ส่งออกมาลดลงและกระทบต่อราคาให้สูงขึ้นไปอีกซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำในประเทศตะวันตกให้ความสำคัญ

หากรัสเซียระงับการส่งออกก็จะเป็นการทำลายเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง

รัสเซียอาจเลือกที่จะจำกัดการส่งออกน้ำมันเพื่อเป็นการลงโทษชาติสหรัฐและยุโรป แต่ก็จะเป็นการทำลายเศรษฐกิจของประเทศตัวเองเช่นกัน เนื่องจากรายได้ของประเทศส่วนใหญ่พึ่งพิงการส่งออกพลังงาน และแม้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดในยูเครนจะรุนแรงมากขึ้น แต่จากเหตุกาณ์ความขัดแย้งในอดีตก็ยังไม่เคยทำให้กระทบต่อการส่งออกน้ำมัน ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นในปัจจุบันเช่นกัน

มี Supply ของน้ำมันเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลกระทบจากพื้นที่ความขัดแย้ง

ประเทศรัสเซียคาดว่าจะผลิตน้ำมันได้ประมาณ 10.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2022 หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของ Global supply โดยกำลังการผลิตส่วนมากมาจากบนพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศซึ่งอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ความขัดแย้งของยูเครนในปัจจุบัน ดังนั้น การใช้กำลังทางทหารในพื้นที่ความขัดแย้งดังกล่าวจึงไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่กำลังการผลิตน้ำมัน อย่างไรก็ตามเส้นทางการส่งออกน้ำมันบางส่วนต้องพาดผ่านพื้นที่ยูเครนซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ แต่ปริมาณการส่งออกน้ำมันในเส้นดังกล่าวมีไม่สูงมากหรือประมาณ 2.5 แสนบาร์เรลต่อวัน และยังสามารถเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นเพื่อทำการส่งออกไปยังยุโรปและเอเชียได้แทน

map

rp

ความขัดแย้งทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในช่วงนี้

สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลต่อปริมาณน้ำมันดิบของโลกที่อาจปรับลง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเด็นดังกล่าวน่าจะยืนอยู่ได้ไม่นานเว้นแต่ว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นจริงและส่งผลต่อปริมาณน้ำมันดิบลดลงหลังจากนี้

ความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้เกิด Risk premium ของราคาน้ำมันซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่าง Marginal cost และราคาในตลาดโลก (ราคาตลาดเป็นผลจากประเด็นอื่นๆนอกเหนือจากต้นทุนในการผลิต) โดยงานวิจัยของ Norwegian energy research คาดว่า Marginal cost ของน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ $65 (สูงกว่าคาดการณ์ของ Morningstar ที่ $60) และเมื่อนำมาเทียบกับราคาน้ำมันดิบเมื่อต้นเดือนที่ประมาณ $89 เท่ากับว่า Risk premium ที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันสูงขึ้นเฉลี่ย 35% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ Risk premiumในอดีตที่ 8% ในช่วงปี 2008-2021ที่ผ่านมา

ในช่วงที่เคยเกิดเหตุความรุนแรงในลิเบียทำให้ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันนั้นมักถูกกระทบจากปริมาณน้ำมันที่ลดลงหรืออาจเกิดจากภาวะ Demand shocks โดยเหตุการณ์ในอดีตที่กระทบด้านปริมาณน้ำมันดิบที่ผ่านมาเช่น ความขัดแย้งในอิรักและคูเวต หรือวิกฤตในประเทศเวเนซูเอลา แต่ในบางสถานการณ์ที่ไม่ได้กระทบต่อปริมาณน้ำมันดิบจริงอย่างเช่น สงครามระหว่างรัสเซียและจอเจียร์ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบมากนั้นในช่วงดังกล่าว แม้ว่าตลาดจะให้  Risk premium ที่สูงขึ้นแต่ก็เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวตราบใดที่ปริมาณน้ำมันในระบบไม่ได้หายไปจริง

(หมายเหตุ บทความนี้แปลจากต้นฉบับที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2022)

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar