ทุกวันนี้กระแสกิจกรรมการออกกำลังกายด้วยการวิ่งทั้งในบ้านเราและต่างประเทศทั่วโลกดูเหมือนจะเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก มีงานวิ่งจัดขึ้นในประเทศไทยเกือบจะทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์มีหลายงาน แต่สังเกตหรือไม่ครับว่าส่วนใหญ่ที่เค้าจัดงานวิ่งกันนั้นจะเป็นการวิ่งระยะกลางถึงยาวทั้งสิ้น มีตั้งแต่เริ่มต้นที่ 5 กม. 10 กม. ไปจนถึงระดับวิ่งมาราธอน 42.5 กม. แล้วเคยสงสัยกันหรือไม่ครับว่าทำไมเค้าถึงไม่จัดงานวิ่งแข่ง 100 เมตร 200 เมตร หรือเวลาเราไปวิ่งออกกำลังกายกันตามสวนสาธารณะต่างๆเราถึงไม่วิ่งระยะสั้นแค่ 100-200 เมตรกัน
คำตอบง่ายๆก็คือ การวิ่งระยะสั้นๆขนาดนั้นมันไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเราเลยนั้นเอง เหงื่อยังไม่ทันไหล ร่างกายยังไม่ทันได้เผาพลาญไขมัน เราก็หยุดวิ่งเสียแล้ว เช่นเดียวกันกับเรื่องของการลงทุนที่วันนี้อยากจะเราให้ฟังนั้นก็คือเรื่องของการ วิ่งไล่ตามผลตอบแทน หรือที่เค้าเรียกกันว่า Chasing Return นั้นเอง
Chasing Return คืออะไร? ง่ายๆเลยครับคือ การที่นักลงทุนมีพฤติกรรมการลงทุนในแบบวิ่งไล่ตามผลตอบแทนกล่าวคือ พอเห็นผลตอบแทนของสินทรัพย์ชนิดไหนดีในช่วงก่อนหน้านี้เราก็จะตามไปลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ และก็เปลี่ยนวนไปเรื่อยๆ ซึ่งเรามักเห็นกันอยู่บ่อยในหมู่นักลงทุนรายย่อยทั่วไปและจากผลการศึกษาและข้อเท็จจริงจากการลงทุนนั้นต้องบอกเลยว่าวิธีการลงทุนแบบนั้นเป็นวิธีการที่ไม่มีประสิทธิภาพเลย มิฉะนั้นคงจะไม่มีการพูดกันถึงเรื่องการติดดอยกองทุนหลายๆประเภทในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกองทุนทองคำ กองทุนน้ำมัน กองทุน Health Care หรือแม้แต่กองทุนหุ้นก็ตาม
และจากข้อมูลเม็ดเงินไหลเข้าออกกองทุนรวมหุ้นไทย (ไม่นับรวม LTF และ RMF) ของไตรมาส 1 ที่ผ่านมานี้พบว่า มีเงินไหลเข้ากองทุนในกลุ่มดังกล่าวสูงถึง 10,691 ล้านบาท นับเป็นเงินไหลเข้าสูงสุดในรอบกว่า 2ปีที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุหลักคงหนีไม่ผลการที่นักลงทุนเห็นผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนหุ้นในปี 2016 ที่ผ่านมานี้ที่ทำได้สูงถึงเฉลี่ย 17-19% (ดูตามกราฟที่วงกลม) จึงทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจและคาดหวังในผลตอบแทนดังกล่าวแห่นำเงินไปลงทุนกัน และนี่ก็คืออีกหนึ่งตัวอย่างของพฤติกรรมการลงทุนแบบ วิ่งไล่ตามผลตอบแทน นั้นเอง
และหากเราย้อนไปดูอดีตที่ผ่านมาเหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในไตรมาส 4ปี 2014 ที่มีเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นไทยกลุ่มดังกล่าวสูงถึง 21,301 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักนั้นก็คือ นักลงทุนเกิดความมั่นใจต่อการลงทุนในหุ้นไทยเพราะเห็นผลตอบแทนย้อนหลังในไตรมาส 1-3 ของปี 2014 ที่ SET Index โตเกือบ 20% (ดูตามกราฟที่วงกลม) นักลงทุนจึงได้แห่เข้ามาลงทุนกันอย่างมากมาย แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? ตลาดหลักทรัพย์ไทยผันผวนในแดนลบต่อเนื่องมาตลอดปี 2015 ซึ่งในช่วงนั้นจะสังเกตได้ว่ามีเงินไหลเข้าไม่มากเหมือนเดิม
กราฟเปรียบเทียบเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นไทย (ไม่นับรวม LTF และ RMF, หน่วย:ล้านบาท) และผลตอบแทน SET Index รายไตรมาส
ที่มา: Moeningstar Direct
เหตุการณ์นี้สอนอะไรเรา? แน่นอนที่สุดอย่างแรกก็คือ
1. การวิ่งไล่ตามผลตอบแทนนั้นไม่ใช่วิธีการลงทุนที่ดีเพราะไม่มีสินทรัพย์ประเภทไหนที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีอยู่ตลอดเวลาและเราก็มักจะเข้าไปลงทุนช้าอยู่เสมอๆเนื่องจากต้องรอเห็นข้อมูลผลตอบแทนที่ดีในอดีตมาก่อน
2. การลงทุนที่ดีควรจะสัมพันธ์เป้าหมายทางการลงทุนของเราในระยะยาวโดยไม่ควรตื่นตระหนกต่อข่าวรอบข้าง
3. การลงทุนที่ดีเน้นควรจะเน้นการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นและการลงทุนผ่านกองทุนรวมเพราะผู้จัดการกองทุนเวลาเลือกลงทุนนั้นส่วนใหญ่ก็จะมองภาพการลงทุนในระยะยาวเช่นเดียวกัน และมากไปกว่านั้นการลงทุนระยะยาวยังช่วยลดความผันผวนได้อีกด้วย
จะว่าไปแล้วการลงทุนก็คล้ายกับการวิ่งออกกำลังกายนั้นแหละครับคือ ต้องใช้ระยะเวลาเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและยั่งยืน ดังนั้นถ้าเราอยากจะให้การลงทุนนั้นประสบความสำเร็จเราก็ต้องรู้จักลงทุนกันแบบมีความอดทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้นเอง