บทบาทของ Tesla ต่อตลาดโดยรวม
Morningstar - 22/11/2564
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้น Tesla พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของสหรัฐฯ จากมูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปีและที่ 1.1 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคมปีที่แล้วซึ่งขณะนั้นเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 64 และจากมูลค่าตลาดที่สูงขึ้นนี้ทำให้เป็นมูลค่าที่สูงกว่า Bershire Hathaway (BRK.B), Johnson & Johnson (JNJ) รวมถึง Home Depot (HD)
การที่มูลค่าหุ้นปรับสูงขึ้นแน่นอนว่าส่งผลต่อหลายดัชนีที่อ้างอิงตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมไปถึงกองทุนรวม ดังนั้นเมื่อราคาหุ้น Tesla มีการปรับตัวขึ้นหรือลงย่อมส่งผลต่อนักลงทุนได้ ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเมื่อมีการประกาศข่าวการผลิตรถยนต์ให้กับ Hertz (HTZ) ทำให้ราคาหุ้น Tesla ดีดขึ้น 12% หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของผลตอบแทน Morningstar U.S. Large-Mid Index ที่ 0.49% ในวันดังกล่าว และในสัปดาห์ต่อมาราคาหุ้น Tesla ได้ร่วงลง 12% หลัง Elon Musk ทวีตว่าตัดสินใจจะขายหุ้นออกไป 10% ทำให้ตลาดปรับตัวลง 0.3% ซึ่งเป็นผลจากการเคลื่อนตัวของหุ้น Tesla อย่างมีนัยสำคัญ

จากการปรับตัวขึ้น-ลงของหุ้น Tesla ในช่วงเวลาสั้น ๆ หากดูรวม ๆ ในระยะยาวขึ้นถือว่าส่งผลต่อตลาดโดยรวมอย่างมาก โดย Morningstar U.S. Large-Mid Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ track หุ้นในตลาด 90% ซึ่งหุ้น Tesla มีสัดส่วน 2.08% ต่ำกว่า Apple ที่ 5.42% และ Microsoft ที่ 5.75% แต่สูงกว่า Metaverse (หรือเดิมคือ Facebook) ที่ 1.78% ดัชนีดังกล่าวมีการปรับตัวขึ้นถึง 58.95% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หากไม่รวมผลจากหุ้น Tesla พบว่าดัชนีปรับขึ้นที่ 56.39% ซึ่งหมายความว่าหุ้น Tesla เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีส่วนในการสร้างผลตอบแทนในดัชนีสูงสุด 5 อันดับแรกถึง 5 ใน 8 ไตรมาสที่ผ่านมา


หากไปดูในมุมมองที่แคบลงเช่นเฉพาะใน consumer cyclical sector ซึ่งใน Morningstar U.S. Consumer Cyclical Index มีน้ำหนักของหุ้น Tesla ถึง 8% โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาดัชนีดังกล่าวมีผลตอบแทน 95% ซึ่งเป็นผลจากหุ้น Tesla ถึง 27% ค่อนข้างต่างจากอันดับรองลงมาเช่น Amazon.com 17% และ Home Depot ที่ 6%

อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เห็นผลกระทบจากหุ้น Tesla ที่มีต่อตลาดคือดูว่าผลตอบแทนจะต่างไปอย่างไรหากไม่นับรวมผลตอบแทนจาก Tesla จากที่ได้กล่าวไปว่า Consumer cyclical เป็นบวกถึง 95% หากไม่รวมหุ้น Tesla แล้ว sector นี้จะมีผลตอบแทนเหลือ 67% ในทางกลับกันหากไม่รวม Amazon.com แทนจะพบว่า sector นี้ยังมีผลตอบแทนสูงอยู่ที่ 87%

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานี้แสดงถึงบทบาทของหุ้น Tesla ที่มีต่อตลาดและดัชนีโดยรวม ฉะนั้นแม้ว่านักลงทุนจะชอบ ไม่ชอบ หรือไม่ค่อยนึกถึงหุ้น Tesla ก็คงหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้ว่าการเคลื่อนตัวของราคาหุ้น Tesla นั้นจะส่งผลต่อผลตอบแทนของผู้ลงทุนได้เช่นกัน